Dracula Untold (2014) แดร็กคูล่า ตำนานลับโลกไม่รู้

Dracula Untold (2014) | แดร็กคูล่า ตำนานลับโลกไม่รู้
Director: Gary Shore
Genres: Action | Drama | Fantasy | Horror | War
Grade: C+

อย่างแรกรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวกับพล็อตเรื่องแดร็กคูล่าที่เล่าได้สดใหม่และผูกเรื่องราวถึงความจำเป็นที่ตัวเองต้องกลายเป็นที่รังเกียจของผู้คน อย่างที่สองรู้สึกผิดหวังที่ขาดการชักจูงมิติตัวละครให้ชวนร่วมอรรถรสจนไม่สามารถดึงในส่วนนั้นๆออกมาได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายกลายเป็นหนังที่น่าสนใจแต่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไร ถ้าถามว่าสนุกไหมยังจัดว่าสนุกในระดับที่โอเคไม่ดูน่าเกลียดเกินไปอย่างเรื่องของเอฟเฟคต่างๆที่ยังดูเนียนและได้กลิ่นอายด้านมืดอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือจ้าวแห่งแวมไพร์ (Charles Dance) ที่บทน้อยแต่โดดเด่นเรื่องการใชคำพูดหลอกล่อเจ้าชายวลาด (Luke Evans) แห่งวัลลาเชียให้หมดทางเลือก เนื่องจากวลาดเกิดปัญหาใหญ่หลวงขึ้นเมื่อเมห์เม็ด (Dominic Cooper) หรือผู้นำเติร์กต้องการเกณฑ์คนมาเป็นทหารเพิ่ม แต่วลาดเหมือนจะปฏิเสธเพราะเลือกอยู่อย่างสงบทว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งจะใช้วิธีบังคับให้ประชาชนของวลาดทุกคนมาเป็นทหารไม่เลือกหน้าและถูกกวาดล้างเมือง แม้แต่อินเกรัส (Art Parkinson) ลูกของวลาดต้องไปอยู่กับเมห์เม็ดในการทำศึกด้วย ทำให้วลาดทำใจข้อเสนอนี้ไม่ได้ที่ถูกกดขี่มากเกินไปจึงต้องปกป้องชาวเมืองจากการรุกรานของพวกเติร์กด้วยการทำลายข้อเสนอที่บังคับนี้และพาชาวเมืองหลบหนี ทว่าด้วยความสามารถที่มีก็ไม่อาจยับยั้งได้ตลอดรอดฝั่งจึงไปหาตำนานที่อยู่ในเขาแห่งหนึ่งที่มีถ้ำซึ่งมีปีศาจอยู่ และนั้นทำให้วลาดเจอกับเจ้าแวมไพร์ที่มีข้อเสนอชวนหลงใหลที่จะมอบอำนาจพิเศษมีพลังเกินมากมายที่หาใครสู้ได้ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเมื่อรับพลังนี้แล้วจะไม่อาจทนต่อแสงแดด แพ้ของที่ทำด้วยเงิน และเกิดความกระหายเลือดที่หักห้ามใจได้ยาก กระนั้นถ้าพ้น 3 วันแล้วไม่ได้ดื่มเลือดจากใครจะหายกลายเป็นคนธรรมดาเว้นแต่ถ้าดื่มไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์ตลอดกาล


"แดร็กคูล่า" หมายถึง ลูกชายของมังกรหรือปีศาจ ที่ตัวหนังได้จำกัดความเอาไว้เพียงเท่านี้พร้อมทั้งยังเปิดเรื่องด้วยการเล่าอดีตของเจ้าชายวลาดอันแสนป่าเถื่อนที่เคยเข้าร่วมทำสงครามกับพวกเติร์กจนได้รับคำสมญานาม"จอมเสียบ"ที่ทำสงครามชนะที่ไหนจะเสียบคนไว้กับไม้เพื่อประการถึงใครก็แล้วแต่ที่คิดต่อต้านจะพบจุดจบด้วยการเสียบประจาน ซึ่งนั้นคงเป็นแค่อดีตที่วลาดไม่ปลื้มใจเท่าไรและใช้ชีวิตกับประชาชนเพียงแค่เมืองๆหนึ่งเท่านั้นก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายด้วยน้ำมือของพวกเติร์กที่มีทหารมากมายกับฝีมือที่กำชัยมาหลายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจนทำให้เจ้าชายวลาดหมดหนทางหวังไปพึ่งสิ่งที่น่าจะช่วยให้รอดจากวิกฤติครั้งนี้แม้จะตำนานเล่าถึงว่ามันเป็นปีศาจก็ตาม แน่นอนว่าการไปหาเจ้าแวมไพร์ตรงๆย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่วลาดมีบางอย่างที่น่าสนใจ นั้นคือความกล้าและเสียสละแก่ประชาชน นี้จึงเสมือนเกมที่น่าลิ้มลองของเจ้าแวมไพร์ที่ไม่ได้มอบพลังให้แก่ใครมาเนิ่นนานพร้อมยังเป็นเรื่องที่ดีหากวลาดผิดกฎดื่มเลือดคนภายในที่กำหนดก็จะกลายเป็นอิสระออกจากภูเขาที่กักขังเอาไว้นานแสนนาน ดังนั้นถ้าถามว่าคนที่ลำบากที่สุดคือใครคงย่อมเป็นพระเอกของเราอยู่แล้วและแน่นอนพลังที่มาในสถานการณ์แบบนี้ต่อให้คิดหลายรอบก็ต้องรับข้อเสนอเพราะหมดทางจริงๆ แต่อย่างไรนั้นวลาดต้องปกปิดความสามารถที่ไม่ต่างกับคำสาปนี้อย่าให้คนอื่นได้รู้เด็ดขาดเพื่อความเลื่อมใสของประชาชนที่มีต่อพระราชา จะว่าพล็อตเรื่องก็ดูเข้าท่าดีจากตัวร้ายในตำนานที่หาด้านดีไม่ได้และถูกมองด้วยความน่ากลัวกลายเป็นผู้ปิดทองหลังพระยอมกลายเป็นแวมไพร์เพื่อปวงชน อารมณ์ไม่ต่างกับแอนตี้ฮีโร่ที่ไม่ได้ดีเลิศประเสริฐ์ศรีเป็นคนดีตั้งแต่แรกแต่ที่ทำไปเพื่อปกป้องเสียมากกว่า นับว่าการเปลี่ยนตำนานเนื้อเรื่องแดร็กคูล่าฉบับนี้ทำได้ละเอียดอ่อนดี

ไม่ใช่แค่ประเด็นของวลาดที่ต้องหันหลังความเป็นมนุษย์เพื่อจะได้หันหน้าสู้ในสภาพปีศาจเท่านั้นเพราะยังรวมถึงเรื่องความรักที่มีต่อมิเรน่า (Sarah Gadon) คนรักที่ห่วงใยและเข้าใจเขามากที่สุด แน่นอนว่าการเป็นสิ่งที่หลายคนเกลียดย่อมถูกตีหน้าถึงความชั่วร้ายแต่ทางตรงกันข้ามกับมีเรน่าที่แม้จะตกใจต่อสิ่งที่เห็นกับร่างกายที่ทำปฏิกิริยากับเงินอย่างน่าประหลาดก่อนที่วลาดจะบอกความจริงอย่างไม่อาจปกปิดก็ไม่ได้ทำให้มิเรน่ารู้สึกรังเกลียดหรือหวาดกลัวแต่อย่างใดซ้ำจะช่วยปิดเป็นความลับและเอาใจช่วยอยู่ข้างๆ นี้คือสิ่งที่ตัวอย่างต้องการเล่นในมุมมองคนรักต้องคำสาปและไม่ทิ้งคนรักแม้จะเป็นในสิ่งที่ใครก็ยอมรับทำใจได้ยาก แต่นั้นทำให้เราเห็นด้านความรักของทั้งสองที่ต่างฝ่ายมีภาระที่แบกรับเอาไว้เกินกว่าใครจะทำได้ เห็นได้ชัดว่าการเล่าเรื่องไม่มีความพิษสงของแดร็กคูล่าที่เรารู้จักมาก่อน ไม่ใช่ปีศาจที่จ้องดูดเลือดจากเรียวคอผู้หญิง ไม่ใช่ความกระหายเลือดที่จบชีวิตด้วยเขี้ยว ทว่า Dracula Untold ใช้ในแง่การต่อสู้กับตัวเองที่ต้องหักห้ามใจไม่ให้ดูดเลือดจากคน อาจจะมีความกระหายไม่น้อยแต่ไม่ใช่แวมไพร์ที่อยากทำร้ายคน กล่าวได้ว่าเป็นแวมไพร์ในคาบพระเอกก็ไม่ผิด ทำให้เราได้ชมมิติตัวละครในจุดนี้ซึ่งทำได้ละเอียดอ่อนและเข้าใจถึงความอยากปกป้องคนรักและประชาชนได้ดี แต่น่าเสียดายที่พอโยนมุมมองไปทางอื่นก็ดูเบาบางจนอรรถรสที่ได้ยังไปไม่สุด ในที่นี้คือความรักระหว่างอินเกรัสที่เป็นลูกกับมิเรน่าที่เป็นภรรยา ทั้งคู่ต่างมีตำแหน่งที่เหมือนกันคือคนรักที่วลาดไม่ยอมเสียใครไปง่ายๆและสิ่งนี้ทำให้เขาตัดสินใจด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ความรู้สึกนี้คือความรู้สึกรักที่น่าจะดีกว่านี้ถ้าตัวหนังให้ความสำคัญเพิ่มความสัมพันธ์ในส่วนนี้ให้ผู้ชมเกิดความผูกพันกับตัวละครเพราะสุดท้ายสิ่งที่ตัวหนังต้องการให้ผู้ชมรู้สึกกลับกลายเป็นความจืดจางที่ใส่แล้วก็รู้สึกแต่ยังไม่ใช่


การที่วลาดต้องต่อสู้กับจิตใต้สำนึกตัวเองเป็นสิ่งที่น่าสนใจและคิดว่าการได้นักแสดง Luke Evans ก็ดูเหมาะสมกันดีที่จะแสดงความเป็นผู้นำกับลักษณะท่าทางไม่ดีเกินไปและไม่ร้ายเกินตัว ด้วยสปิริตการแสดงตอนแสดงสีหน้าทำได้ไม่เลวดูเป็นคนมีปมในใจและมุ่งมั่น น่าเสียดายไปนิดที่โอกาสแสดงศักยภาพนั้นค่อนข้างมีน้อยเพราะเอาเข้าจริงขายฉากมากกว่าการแสดง แต่ถ้าถามว่าใครเด่นสุดอันนี้ย่อมหนีไม่พ้น Charles Dance ที่บทไม่มากแต่ฝังจิตฝังใจกับการแสดงอย่างมากเนื่องจากคาแรกเตอร์มันเหมาะยิ่งกว่าใครในเรื่องเสียอีก ยิ่งตอนแสดงอารมณ์ก็รู้ทันทีถึงความเล่ห์ร้ายของจ้าวแวมไพร์ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนแน่ๆเพราะข้อเสนอขอพลังคงไม่ง่ายขนาดนั้น

ในขณะที่ตัวร้ายหลักของเรื่องคือ Dominic Cooper ที่หน้าตาดูร้ายก็จริงแต่เรื่องความเป็นตัวร้ายยังไม่มากพอเท่าไหร่แม้ตอนท้ายจะโชว์ความเก่งกาจของตัวละครนั้นๆก็ยังรู้สึกเฉยไปหน่อย ในขณะเดียวฉากปะทะกันระหว่างวลาดกับเมห์เม็ดในตอนท้ายเรื่องค่อนข้างว่าง่ายไปหน่อยจนรู้สึกว่านักแสดงทำได้เต็มที่ก็ยังไม่อาจทำได้น่าสนใจพอ(เผลอๆเดาฉากนี้ได้ด้วยสิ) พอๆกับ Sarah Gadon ที่สวยแสดงดีและเป็นตัวละครสำคัญที่ส่งผลทางเนื้อเรื่องก็ยังไม่อาจเรียกอารมณ์ได้ดีพอ จุดนี้นับว่าน่าเสียดายโดยเฉพาะฉากวิกฤติที่ทำให้วลาดต้องคิดหนักเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ไร้หมดคำสาปแต่พ่ายแพ้กับแก้แค้นแลกกับเป็นแวมไพร์ตลอดกาล ถ้าฉากนี้ทำให้เราเห็นความสำคัญของตัวละครทั้งสองเพิ่มมากอีกบางทีอาจได้อารมณ์ซึ้งๆเรียกน้ำตาก็ได้เพราะน่าจะเป็นช่วงที่ให้อารมณ์ได้ดีที่สุดเนื่องจากฉากอื่นก็มีมุ่งไปทางแอ็คชั่นกันเสียมาก อย่างน้อยการเล่าเรื่องที่ไม่อืดอาดและน่าเบื่อคือสิ่งที่ดีงามของเรื่องนี้


จริงๆแล้วมันคือโปรเจคลือของเก่ามาเล่าใหม่ด้วยเนื้อเรื่องที่แตกต่างแต่ยังคงพล็อตบางส่วนให้คล้ายต้นฉบับของ Universal ที่ตั้งใจจะให้ทีมงาน Legendary Pictures รีบูทหนังมอนสเตอร์ระดับตำนาน(เมื่อก่อนมอนสเตอร์คือสัตว์ประหลาด แต่สมัยนี้ฟังดูเป็นสัตว์เลี้ยงมากกว่า) ซึ่งจะมี Frankenstein แฟรงเกนสไตล์ , The Invisible Man มนุษย์ล่องหน , The Mummy มัมมี่ และ The Wolf Man มนุษยหมาป่า ทั้งนี้ก็ต้องมีการปูทางกันก่อนโดยใช้ตัวละครที่ว่าน่าจะฮิตที่สุดอย่างแดร็กคูล่ามาเปิดเรื่องที่เหมือนจะพอไปได้อยู่บ้างแต่เสียงวิจารณ์ยังไม่เป็นที่น่าปลาบปลื้มเท่าที่ควร แถมรายได้เองก็ไม่ถึงขั้นหวือหวาอะไรมากมายจากทุนสร้าง 70 ล้านเหรียญสหรัฐได้ไป 215 ล้านสหรัฐก็เหมือนจะกำไรกระนั้นมองแง่ความฮิตชื่อเสียงของตัวละครดูท่าจะไม่ค่อยนิยมเสียแล้วทำให้การขยายโปรเจครีบูทของเก่าดูจะไม่ราบรื่นเท่าไหร่ แต่โดยรวมหนังยังนับโอเคอยู่ทั้งเอฟเฟค การแสดง และพล็อตเรื่อง จะมาเสียที่การเล่าเรื่องกับอารมณ์ยังไม่ดึงมาเต็มที่พอก็เลยดูง่ายลงสูตรเดาไม่ยากเต็มไปหมด(ยิ่งสู้กันตอนท้ายยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่) อย่างน้อยการตีความแดร็กคูล่าในแบบให้มี"หัวใจ"คือเรื่องที่ถูกและช่วยเสริมมิตตัวละครนี้ด้วยความหลากหลาย ไม่ใช่มิติเดียวอย่างที่เรารู้กันคือแวมไพร์ที่แปลงกายเป็นค้างคาวที่คอยดูดเลือดในเวลากลางคืนและเห็นแก่ตัว บางทีถ้า Dracula Untold มีส่วนที่หายไปอาจช่วยยกระดับตัวหนังได้เยอะทีเดียวเพราะอย่างอื่นของเขาครบอยู่แล้ว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)