Edge of Tomorrow (2014)
ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร
Director: Doug Liman
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: A-
ก่อนจะมาเป็นหนังได้ต้องถูกดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายไลท์โนเวล All You Need Is Kill ของ Hiroshi Sakurazaka ซึ่งเป็นนิยายที่ขายดีมากในญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ซึ่งว่าด้วยทหารนายใหม่นายหนึ่งนามคิริยะ เคย์จิที่เข้าร่วมสงครามต่อสู้กับเหล่าเอเลี่ยนที่เรียกว่ามิมิค แต่ระหว่างทำสงครามต่อสู้กับข้าศึกก็ทำให้เขาต้องได้ค้นพบบางอย่างที่เหลือเชื่อกับตัวเขาเองเมื่อเขาตายลงก็สามารถย้อนกลับไปหาอดีตได้ และเมื่อตายอีกก็กลับมาที่เดิมกลายเป็นลูปที่ไม่รู้จบสิ้นวนเวียนตลอดเวลา และเมื่อมากขึ้นก็ยิ่งเป็นการสะสมค่าประสบการณ์พัฒนาขีดความสามารถยิ่งขึ้นจากทหารธรรมดากลายเป็นทหารแนวหน้า เช่นเดียวกับเนื้อหาในหนังที่เปลี่ยนตัวเอกเป็นพันโทวิลเลียม เคจ (Tom Cruise) ชายทหารดวงซวยที่เหมือนจะสุขสบายกับตำแหน่งด้านสื่อโปรโมทกองทัพที่ไม่ต้องออกไปรบดันต้องไปรบกับเอเลี่ยนที่บุกมาโลกและกลายเป็นสงครามที่เสมือนตกอยู่ในแดนข้าศึกที่มีค่าตายมากกว่ารอด ทว่าการไปรบครั้งแรกเหมือนจะจบลงอย่างรวดเร็วสำหรับเคจที่ไม่มีทักษะการรบเพราะมีหน้าที่เป็นฝ่ายใช้มันสมองมากกว่า แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อเขาตายก็เกิดย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้งราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้คือความฝัน แต่ฝันนั้นเหมือนจริงจนเคจรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างเกิดซ้ำไปหมดและเริ่มท่องจำแต่ละเหตุการณ์ได้อย่างไม่คาดเคลื่อน จนทุกอย่างเกิดขึ้นจริงอีกครั้งที่ต้องไปสนามรบและเขาก็ตายอีกครั้ง คราวนี้ก็ฟื้นมาอีกที่เดิมพร้อมกับเหตุการณ์เหมือนเดิมก่อนหน้านี้ ตอนนี้เคจประหลาดใจสุดๆเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองตายเท่าไหร่ก็กลับมาได้ตลอดแล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ คำตอบนี้เหมือนริต้า วาทาสกี้ (Emily Blunt) หรือเจ้าของฉายาเทพสงครามเวอร์ดันกำลังใบ้คำตอบกับเขาเมื่อเธอเอยปากออกเมื่อฟื้นแล้วให้มาหาเขา ทำไมต้องเขา?
"เกิด ตาย วนเวียน"
แม้จะแหกธรรมเนียมฮอลลีวู้ดไปบ้างแต่การได้นักแสดงแนวหน้าอย่าง Tom Cruise นับเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะอย่างแรกคือตลอดหนังก่อนหน้านี้จะสังเกตได้เลยว่าถึงจะเป็นหนังแอ็คชั่นมากแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าจะยิงกันทั้งเรื่องซะอย่างเดียวเพราะยังต้องใช้สมองจนมีความรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของสายลับใน Mission: Impossible คือบุคลิกที่ใช้ที่สุดเช่นเดียวกับใน Edge of Tomorrow ที่เหมือนจะเอามันส์แต่เอาเข้าจริงคือหนังที่ใช้สมองในการเล่าเรื่องให้ผู้ชมนึกคิดอยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งยังรู้จักเล่าเรื่องแบบซ้ำซากเวียนไปวนมาได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อทั้งที่ข้อจำกัดอยู่ที่ทำยังไงให้ฉากที่เล่าเดิมๆนั้นออกมาแตกต่าง ซึ่งทางเนื้อเรื่องเขียนได้ดีแต่การทำให้เห็นด้วยฉากต่างๆดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากเมื่อไรที่ถูกเล่าซ้ำๆก็จะจำได้ว่ามันเกิดอะไรบ้างไม่ต่างกับดูหนังที่ดูแล้วดูอีกจนบอกได้ทันทีในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องที่สนุกแต่ขาดความสดใหม่แต่เชื่อไหมกับเรื่องนี้ก็ตกภาวะนั้นด้วยเช่นกันที่มีเส้นเรื่องไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อนมากนักจนรู้สึกมาช่วงหลังๆของหนังเป็นอะไรที่เริ่มเดาทางได้มากขึ้นเพราะเข้าพล็อตเดิมๆที่พระเอกต้องยอมรับความจริงในฐานะคนที่พิเศษกว่าและเข้าร่วมต่อสู้ด้วยทักษะที่เพิ่มมากขึ้น กระนั้นการเล่าเรื่องบวกกับเทคนิคต่างๆล้วนทำได้อย่างพอดีในแต่ละฉากที่ไม่มุ่งหวังต้องดูอลังการเป็นแบบสงครามระดับล้างโลก ข้อดีคือจุดหนักและจุดผ่อนอย่างตอนลงชายหาดจะเป็นฉากที่ใหญ่มีการต่อสู้เกิดขึ้นในสนามรบจนสภาพไม่ต่างกับสงครามในประวัติศาสตร์จนน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวละครเอกที่ไม่มีทักษะอะไรเลยเกี่ยวกับอาวุธหรือการต่อสู้จะไปลงสนามรอดได้ยังไงในเมื่อไม่ทันไรเนื้อเรื่องก็รีบเร่งให้ลงรบอย่างไม่รีรอจนพระเอกยังทำอาการหน้าถอดสีไม่หายและไหนก่อนจะไปรบเราก็รู้แล้วว่าพระเอกของเราคงไม่ไหวแน่ๆในสภาพที่ขาดความมั่นใจจนไม่น่าเรียกว่าทหารที่ไปรบเลยสักนิดเดียว
จะว่าแล้วตัวหนังก็เหมาะอย่างมากกับคนที่ไม่รู้เรื่องย่อมาก่อนเพราะอย่างน้อยจุดเซอร์ไพรส์อย่างหนึ่งที่เห็นพระเอกตายครั้งแรกจะเป็นอะไรที่จุดอารมณ์ผู้ชมได้อย่างดี ซึ่งถ้าว่ากันตามหนังทั่วๆไปก็มักจะให้พระเอกของเราโชคดีสามารถรอดตายมาได้เพราะดวงมากกว่าฝีมือจนมองว่าต่อให้อ่อนกว่าชาวบ้านแต่เมื่อมีความกล้าก็ชนะไปครึ่งหนึ่ง ตามสูตรหนังทำนองพระเอกอ่อนแต่ใจสู้จนเก่งก็มีไม่ใช่เรื่องแปลกแต่กับเรื่องนี้ค่อนข้างจะซื่อตรงต่อความเสี่ยงแบบ 50 ต่อ 50 ใครจะตายก็ตายได้โดยไม่มีการโกงว่าคนนี้คือพระเอกจำเป็นต้องรอดหรือคนนี้ฝีมือดีต้องอยู่นานกว่าคนอื่นๆ นับเป็นจุดที่แปลกและเหมาะกับเนื้อเรื่องที่วนไปเวียนมาไม่รู้จบสิ้น ซึ่งปกติคนเราถ้าจะตายก็คือจบไม่มีโอกาสครั้งที่สอง
ทว่าประเด็นของเรื่องนี้ตั้งใจให้เกินขอบเขตมากกว่าสองหรือสามครั้งในการให้โอกาสด้วยคำไม่สิ้นสุดจนเกิดความซ้ำซากที่หาตอนจบของเรื่องไม่เจอเพราะสุดท้ายเมื่อตัวเองก็กลับมาเริ่มใหม่แบบการเล่นเกมที่เซฟเอาไว้ในเวลาหนึ่งที่เมื่อตัวเองตายก็กลับมาเล่นต่อในจุดที่เซฟเอาไว้ เช่นเดียวกับเคจที่หาตัวเซฟเจอและเสมือนใส่สูตรโกงไปหน่อยๆกับการวนเวียนอยู่ในรูปแบบเดิมและหากลวิธีไม่ซ้ำรูปแบบเพื่อลองของแก้สถานการณ์ไปมา ซึ่งโชคก็มาจากครั้งแรกที่ไปได้พลังพิเศษนี้มาจากการจัดการตัวอัลฟ่าที่นับเป็นตัวที่หายากอย่างมากเนื่องจากเป็นตัวสำคัญในการสื่อประสาทให้กับโอเมก้าเพื่อทำการลูปเวลาไปใหม่
ถามว่าทำไมต้องลูปเวลาไปใหม่ทั้งที่จากรูปร่างและประสิทธิภาพแล้วก็เก่งกาจพอสมควรจนฝ่ายมนุษย์ต้องตายมากกว่าจะจัดการได้สักตัวซึ่งก็เป็นเพียงระดับล่างหรือมิมิคเท่านั้น แต่นั้นเพราะความรอบคอบของโอเมก้าที่ใช้อัลฟ่าเป็นตัวแปรของจุดผลิกพันสถานการณ์ มิมิคตายมากแค่ไหนแต่ด้วยจำนวนย่อมมีมากทว่ากับอัลฟ่าที่มีน้อยเสมือนตำแหน่งสูงๆคอยเก็บกวาดข้อมูลถ้าตายก็จะเป็นการบอกว่าฝ่ายมนุษย์กำลังได้เปรียบเนื่องจากโอกาสที่อัลฟ่าจะตายมีน้อยไปตามจำนวนที่จะบอกว่าจะเป็นฝ่ายแพ้ ฉะนั้นถ้ารู้ว่าเสียเปรียบก็ย้อนเวลาไปเพื่อเริ่มเกมวางแผนใหม่ ถ้าจะแพ้อีกก็ย้อนไปเพื่อประมวลผลใหม่ เฉกเช่นเดียวกับเคจที่จัดการอัลฟ่าและรับเลือดอัลฟ่าก่อนตายจนมีความสามารถเป็นสื่อประสาทถึงโอเมก้าไปในตัวที่จะรีเซ็ทเวลาใหม่ทุกครั้งที่เขาตาย
ดูจะไม่ธรรมดาที่ฝ่ายเอเลี่ยนมีความสามารถควบคุมเวลาด้วยการทำให้เริ่มใหม่ได้ทุกครั้ง ซึ่งนั้นจะทำให้พล็อตเรื่องดูจะคล้ายคลึงกับหนังรักอย่าง Groundhog Day (1993) ที่มีโครงเรื่องเกี่ยวไทม์ไลน์เล่นซ้ำวนเวียนไปมาไม่จบสิ้นสักครั้งโดยมีเพียงตัวเอกของเรื่องเท่านั้นที่รู้ตัวว่าเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นใหม่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงยกเว้นเจ้าตัวที่มีความคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆจากการเคยประสบเหตุการณ์เหล่านั้นมาก่อน จากความซ้ำซากกลายเป็นความรู้เท่าทันที่มาทำนองการเรียนรู้จากการตกชั้นหรือการเริ่มใหม่ที่เรียนแต่บทเดิมเรื่องเดิมหลักสูตรเดิม ทว่าสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือค่าประสบการณ์จากการสะสมผ่านช่วงปฏิบัติต่างๆที่ทั้งผิดทั้งถูก กระทั้งท้ายที่สุดจากการวนเวียนก็เพิ่มค่าประสบการณ์กลายเป็นทางที่แน่นอนที่สุดว่าคือคำตอบที่ถูกต้องชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าพระเอกในสภาพที่แทบไม่น่าสู้รบขนาดนั้นถ้าไม่ใช่ไปเจออัลฟ่าแล้วได้พลังส่วนนั้นมาก่อนตายคาที่แต่เป็นมิมิคแทนคงต้องเรียกคนเขียนบทมาเคลยร์ซะหน่อยแล้วว่าจะชักพาให้เป็นตัวนำเรื่องทำไมตั้งนาน แต่นั้นคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วในเมื่อนักแสดงนำเป็นระดับแนวหน้าขนาดนั้น พอพูดถึงนักแสดงในเรื่องที่ต้องตามมาติดๆคือ Emily Blunt ที่ในเรื่องรับบทเป็นริต้าที่ต้องออกไปรบเช่นกัน ทว่าในเรื่องมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย นั้นคือการเป็นขวัญใจเหล่าทหารทั้งหลายจากการทำสงครามครั้งก่อน และเผอิญการทำสงครามในครั้งก่อนไม่ใช่ว่าเธอจะฝีมือดีเยี่ยมระดับสุดยอดซะเมื่อไรเพราะเอาเข้าจริงถึงจะเก่งอย่างที่ทหารคนอื่นๆเป็นแต่เนื้อแท้เธอไม่ได้เหนือไปกว่าเคจของเรามากนัก เว้นแต่ว่าเธอได้รับการฝึกและผ่านช่วงเหตุการณ์นั้นจนรู้ล่วงหน้า ผลคือไม่ใช่เคจที่มีความสามารถนี้คนเดียวเพราะริต้าก็ได้ในส่วนนี้เช่นกันเพียงแค่ว่าพลังหมดไปแล้ว
อย่างน้อยก็ดีตรงที่ว่าพระเอกของเราไม่ได้เกิดมาเก่ง ไม่ได้ดวงดี ไม่ได้มีคนช่วย แต่สิ่งเหล่านี้มาจากการฝึกฝนที่ไม่รู้จบ โอเคตอนแรกอาจดูบังเอิญที่ได้พลังจากอัลฟ่าแต่หลังจากนั้นคืออะไรเป็นไม่ได้นอกจากความกระตือรือร้นค้นหาคำตอบว่ามันยังไงกันแน่ จะว่าตามตรงอาจไม่แปลกใหม่ไปซะทีเดียวกับพล็อตเรื่องเช่นนี้ที่สุดท้ายเจ้าตัวก็เกิดเชื่อว่าเมื่อตัวตายก็กลับมาใหม่พอมาใหม่ก็ทำท่าไปบอกคนโน้นคนนี้ว่าในอนาคตที่จะเกิดจะมีอะไรบ้าง ผลลัพธ์เป็นไปตามคาดคือไม่มีใครเชื่อและยิ่งตั้งใจจะบอกมากขึ้นยิ่งไม่ช่วยอะไรเพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน จนทางออกก็มาที่ริต้าที่กลายเป็นกุญแจช่วยคลี่คลายเรื่องราวให้กระจ่างมากขึ้นทั้งกับเคจและกับผู้ชมว่าจะเอายังไงต่อไปกันแน่ แต่ก่อนจะพาไปสู่จุดพัฒนาเนื้อเรื่องต้องกล่าวถึงพลังสักนิดว่าริต้าก็เคยมีความสามารถวนเวียนเช่นนี้แต่ก็หมดไปเนื่องจากโดนถ่ายเลือด สรุปง่ายๆคือพลังจะไหลไปตามร่างกายเป็นส่วนหนึ่งของเลือดที่บริสุทธิ์หรือเจาะจงว่าเป็นคนๆนี้เท่านั้น เมื่อไรที่ถูกถ่ายออกมีการทดแทนด้วยเลือดคนอื่นจะทำให้สูยเสียพลังส่วนนี้ไป นับว่าดีที่ยังมีข้อบกพร่องการรักษาพลังว่ามีข้อจำกัดแบบไหนบ้างไม่งั้นจะเข้าค่ายพระเอกฆ่าไม่ตายเกิดใหม่ได้ทั้งชีวิต ซึ่งมันแน่นอนว่าการเกริ่นบอกการเสื่อมพลังมาขนาดนี้ย่อมหลักเลี่ยงในจุดนี้ไม่ได้ที่จะต้องมีการพลิกล็อคเรื่องพลังวนเวียนเกิดตายแบบนี้บ้างแหละ
กลับมาเข้าเรื่องของริต้าที่เก่งเพราะไม่รู้จักตายนี่แหละ พอตายก็เกิดใหม่ไม่จบสิ้นและยิ่งเกิดกี่ครั้งก็ช่วยพัฒนาทักษะไปในตัวอีกด้วยเพราะความทรงจำยังมี จึงไม่แปลกว่าทำไมถึงรู้ล่วงหน้าและเมื่อรู้แล้วก็ไม่ต่างกับการโกงว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า นั้นเองที่ทำให้ริต้าผ่านประสบการณ์มานับครั้งไม่ถ้วนจนฝึกตัวเองเข้าขั้นแนวหน้าและชนะมาได้ในที่สุด กรณีเดียวกับเคจที่วนเวียนไปมากับการฝึกกับริต้าที่ตายแล้วตายเล่าเพื่อมาฝึกการสู้รบก่อนลงสนามจริง จะว่าแล้วนี่เป็นการแสดงออกถึงทหารด้วยเช่นกันที่ต้องรีบทำให้เสร็จโดยไม่มีอะไรค้างคาเมื่อเคจบาดเจ็บจากการฝึกพิเศษกับริต้า เช่น ขาหัก เลือดไหล ขยับไม่ได้ ริต้าจะทำหน้าที่ปลิดชีพทิ้งเพื่อให้เคจเกิดใหม่มีสภาพร่างกายปกติโดยไม่ต้องมารอปฐมพยาบาลเนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียพลัง ถ้ามองดีๆก็เป็นมุขที่กัดได้กัดดีเกี่ยวกับโอกาสแก้ตัว ในโลกจริงๆจะมีโอกาสแก้ตัวได้กี่ครั้ง เราสามารถหาประสบการณ์จากเรื่องเดิมได้มากน้อยแค่ไหน การเรียนรู้จากเรื่องเดิมเราจะเก็บได้หมดสักกี่ครั้ง แต่ละครั้งที่เสียโอกาสไปจะทำยังไงให้โอกาสที่ได้อีกครั้งมีค่ามากกว่าหนก่อน ตัวหนังอาจจะไม่จริงจังในเรื่องคุณค่าของชีวิตเพราะเกิดใหม่ได้แต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่าเราไม่ควรเสียเวลาไปมากกว่านี้และควรจบเรื่องราวให้ถึงบทสรุปเสียที
โดยรวม Edge of Tomorrow นับเป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟที่สนุกและมันส์กับการเล่าเรื่องอย่างมากในการหาความหลากหลายต่างมุมมองจากตัวเคจที่เดี๋ยวตายเดี๋ยวเกิดใหม่ว่าตกลงจะทำอะไรบ้างเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ไปมากน้อยแค่ไหนเสมือนการเรียนรู้ชีวิตที่ต้องรู้จักปรับตัวว่าเราควรทำยังไงบ้างเพื่ออนาคตที่แตกต่างและดียิ่งขึ้นต่อไป เราอาจเห็นเคจในตอนแรกมีความหวาดกลัวไม่กล้าที่จะลุยแบบซึ่งๆหน้าแต่ยิ่งผ่านประสบการณ์การเรียนรู้มากขึ้นรู้เท่าทันมากขึ้นยิ่งทำให้กล้าตัดสินใจมากขึ้นว่าจะกลัวตายหรือสู้ตาย ในบางอารมณ์ผู้ชมสัมผัสถึงเคจได้จากหลายๆลูปที่มีอารมณ์เข้ามามีส่วนควบคุมว่าจะทำอะไรต่อไป จะปล่อยให้คนที่รู้ว่าตายก็ตายไปหรือจะช่วยคนที่น่าจะรอดก็รอดไป สิ่งที่น่าประทับใจสุดคือการลุยเดี่ยวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจากที่แล้วมาต้องร่วมกับริต้าในการตามหาโอเมก้าซึ่งมีความหนักแน่นเป็นตัวของตัวเองอย่างมากผิดับช่วงแรกของหนังราวกับอีกคน จุดเปลี่ยนบุคลิกทำได้ดีจากการเรียนรู้ที่ค่อยปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนเริ่มเห็นว่าเคจมีความมุ่งมั่นยิ่งกว่าใครๆเพราะเริ่มเบื่อกับการเริ่มใหม่และคิดว่าถึงจะดีที่ตายไม่เป็นแต่การเห็นคนอื่นตายและศัตรูยังคงอยู่แม้จะมีอยู่ฉากที่เคจหนีทัพไปข้างนอกไปเข้าเมืองแต่สุดท้ายก็โดนเหล่าเอเลี่ยนบุกมาถึงที่จนได้ นั้นจึงเป็นประเด็นที่ว่าถึงคนเราจะหนีความจริงไปไกลแค่ไหนแต่ท้ายสุดก็โดนไล่ตามถึงอยู่ดี
ทางเนื้อเรื่องค่อนข้างดีเขียนกระชับไม่นอกเรื่องนอกราวนอกจากเรื่องทำสงครามกับเอเลี่ยนกลุ่มนี้แค่นั้น การเล่าเรื่องไหลลื่นไม่มีจุดน่าเบื่อเพราะพยายามเล่าในจุดเดิมด้วยวิธีที่แตกต่างออกไป ที่สำคัญคือฉากแอ็คชั่นทำได้ดีดูลุ้นดูมันส์ไม่มีเบื่อเลยสักนิด การเข้าถึงมิติตัวละครทำได้ดีที่ไม่มุ่งเน้นให้ใครโดดเด่นเกินไปเว้นกับริต้าที่มีความสำคัญในภายหลัง นับเป็นการคืนฟอร์มให้กับผู้กำกับ Doug Liman ให้กับมาอีกครั้งหลังจากเรื่องล่าสุด Fair Game (2010) ที่ไม่ค่อยจะเร้าใจเท่าไหร่ ก็นับได้ว่าเป็นอีกเรื่องที่เร้าใจกับการเล่าเรื่องที่รวดเร็วไม่อลังการงานสร้างแต่คุ้มค่าที่ดูยิ่งใหญ่ในแบบตัวของตัวเองค่อนข้างสูง ก็ได้แค่ว่าแนะนำให้หามาชมโดยเฉพาะใครหวังแอ็คชั่นแบบเข้มข้นทางเนื้อเรื่องรับประกันว่าสนุกได้อรรถรสเต็มเปี่ยมไม่มีจุดเบื่อให้ว่างเว้น ที่สำคัญความน่าติดตามที่ต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่งั้นเราจะรู้เหรอว่าพระเอกตายไปกี่ครั้ง ไม่ใช่! ไม่งั้นเราจะดูไม่ค่อยรู้เรื่องเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะแต่ละลูปคือของใหม่ มันจะไม่ซ้ำซากจำเจซึ่งตรงนี้แหละที่ห้ามพลาด