Outbreak (1995)
วิกฤติไวรัสสูบนรก
Director: Wolfgang Petersen
Genres: Action | Drama | Thriller
Grade: B-
ลองมานึกๆดูแล้วจำพวกหนังที่เกี่ยวกับโรคระบาดนี่นับว่าหายากพอตัวไม่ใช่น้อยเพราะเนื้อเรื่องต้องแข็งพอจะอธิบายได้ถึงที่มาที่ไปกับวิธีแก้ไขซึ่งเหมือนว่าถ้าไม่อยากลงทุนเป็นระดับเชื้อล้างโลกก็ต้องมาที่การเริ่มต้นของเชื้อที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นจากอะไรสักอย่าง ซึ่งในที่นี่หมายถึงลิงชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการแพร่เชื้ออย่างไม่ตั้งใจที่ริเริ่มมาจากการจับสัตว์เพื่อการค้าขายก่อนจะบานปลายติดเชื้อไปเรื่อยๆตามทางจากผู้จับและทอดต่อกันมาเป็นผู้ซื้อจนกระทั่งคนที่ติดเชื้อก็แพร่ใส่คนอื่นๆกันเป็นลูกโซ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กว่าจะมารู้ตัวก็สายเกินไปเมื่อเชื้อนี้ได้ระบาดไปทั่วเมืองจากสถานที่แรกคือซาร์อีหรือคองโกที่เหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่กับเหล่าบรรดาหมอที่เจอไวรัสสายพันธุ์ที่ไม่รู้จัก แน่นอนว่าเวลาต่อมาผู้พันแซม แดเนี่ยลส์ (Dustin Hoffman) ก็เจอกับไวรัสชนิดนี้เข้าและศึกษาเกี่ยวกับสายพันธุ์นี้แล้วพบว่ามีอะไรหลายอย่างที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไวรัสอีโบล่าหลายเท่าเพราะไม่ใช่ถึงกับเสียชีวิตแต่เป็นอะไรที่เฉียบพลันได้อย่างรวดเร็วด้วยระยะการฟักตัวในไม่กี่ชั่วโมง สิ่งสำคัญสุดคือแซมกำลังเร่งหาหนทางช่วยให้ทันกาลก่อนที่จะแพร่กระจายเป็นวงกว้างในไม่กี่อึดใจ ทว่าการข้อร้องผู้บังคับบัญชาอย่างท่านนายพลบิลลี่ ฟอร์ด (Morgan Freeman) ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะถูกปฏิเสธและไม่มีการอนุมัติใดๆ จนกระทั่งเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นามว่า"โมทาบ้า"ได้เข้ามาถึงอเมริกาจนได้ และมันจะไม่ใช่แค่นิดเดียวที่ที่ติดเชื้อเพราะเชื้อได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินในไม่ช้า
เอาตามตรงความรู้สึกลึกๆคือเป็นหนังโรคระบาดที่ดูไม่ค่อยเหมือนโรคระบาดเท่าไหร่ คงเพราะตัวหนังมีกลวิธีการเล่าเรื่องเน้นทางแอ็คชั่นเสียมากกว่าจนบางช่วงแทนที่จะหนักแน่นซีเรียสไปกับสถานการณ์เครียดๆก็กลายเป็นชวนสนุกตื่นเต้นเเสียแทน ซึ่งในทำนองกับช่วงแรกของหนังที่เปิดเรื่องมากับค่ายทหารแห่งหนึ่งในป่าที่กำลังเผชิญหน้ากับความสูญเสียเพราะโรคระบาดไม่ทราบชนิดที่กำลังเกาะกินทหารไปทีละราย แต่อะไรนั้นคือโทนของหนังดันชวนให้อารมณ์ที่มากกว่าภาวะวิตกจากโรคที่กำลังฆ่าคนที่กำลังเคร่งเครียดมีฉากแอ็คชั่นผสมไปนิดหน่อย ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจความเลวร้ายของค่ายทหารที่ค้นพบว่าไม่ควรปล่อยเอาไว้นานเกินควร ผลคือการกวาดล้างค่ายตามมาตราการขั้นสุดท้ายในการกำจัดหรือที่เรียกง่ายๆว่าถอนรากถอนโคนทิ้งบอมบ์ลงค่ายจบชีวิตทั้งคนในค่ายและเชื้อไวรัสในคราเดียว ดังช่วงแรกของหนังคล้ายจะบอกหลายส่งหลายอย่างและหนึ่งในนั้นคือความกลัวที่มนุษย์พึงมีต่อสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่แพร่ในร่างกายเพื่อความอยู่รอด เราเห็นได้ว่าเชื้อไวรัสตัวนี้ไม่เคยรู้จักมาก่อนและร้ายแรงเพราะการรุกรานที่รวดเร็วซึ่งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูนั้นหลังจากดูอาการและศพของทหารก็รู้ทันทีว่าเอาไม่อยู่ สุดท้ายคือยอมเสียคนหมู่น้อยเพื่อรักษาคนหมู่มาก ประเด็นคือการกระทำนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ ถึงแม้จะช่วยชีวิตและหยุดการแพร่เชื้อของไวรัสได้ก็จริงแต่กับสถานการณ์ที่เกี่ยวโยงกับกับการทำสงครามอยู่นั้นจะบอกว่าเสียสละเพื่อชาติได้หรือไม่ในเมื่อต้องมาตายเพราะพวกเดียวกันเอง
จะว่าแล้วการปูเรื่องในตอนต้นก็เข้ากับสูตรหนังในแบบที่ว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์นั้นยังคงเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าเปรียบกับเมืองๆหนึ่งจะเป็นยังไงบ้างในการรับมือการแพร่ระบาดของโรคชนิดนี้ที่ยังไม่รู้จักมากพอจนถึงขั้นต้องใช้วิธีเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า จุดนี้จึงเป็นการสร้างความตระหนักแก่ตัวผู้ชมไปในตัวให้เอาใจช่วยตัวละครให้หาวิธีจัดการกับไวรัสชนิดนี้ให้ได้เพราะไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมแบบที่เห็นตอนเปิดเรื่อง ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องราวจะไม่ใช่แค่การลงเอยแบบดังข้างต้นไปซะทีเดียวเพราะตัวละครเองต่างก็มีอะไรที่สัมพันธ์กัน เช่นเรื่องความรักระหว่างแซมกับร็อบบี้ (Rene Russo) ภรรยาเก่าที่ชีวิตเริ่มห่างเหินไปทุกที จะว่าก็เข้ากับสูตรทำนองคองธรรมอีกครั้งในแง่การให้กำลังใจตัวละครที่ดูเหมือนว่ารักเราไม่เก่ายังเป็นอะไรที่ใช้ได้ดีเสมอ จุดนี้เองจะช่วยดึงผู้ชมว่าอุปสรรคปัญหาเมื่อเกิดขึ้นบางครั้งไม่ใช่คนเดียวที่จะคลี่คลายปัญหานี้ได้ถ้าไม่ใช่รู้จักช่วยกันแก้ไข ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าหนังจะมุ่งไปที่ตัวร้ายอย่างไวรัสเสียทีเดียวเพราะในแง่เรื่องความรักก็มีเช่นกัน อีกทั้งยังมีส่วนอารมณ์ดราม่าเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อกับไม่ติดเชื้ออีกด้วย เช่นแม่ติดเชื้อไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดลูกได้ ต้องทำตัวอยู่ห่างๆจนสุดท้ายก็ถูกแยกออกจากครอบครัวไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกไหม นึกๆแล้วก็เป็นเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นเพราะโรคต่างๆนาๆบางทีมันไม่ได้มาในรูปแบบที่ตายตัวเนื่องจากมาจากการสัมผัส และเจ้าการสัมผัสนี่แหละที่เป็นตัวปัญหาว่าเราไปจับอะไรมาบ้าง คนที่เป็นพาหะเคยไปแตะอะไรมาบ้าง อย่างลูกกรอนประตูเอย ราวรถเอย การจามเอย ยังมีอะไรหลายอย่างที่ป้องกันตัวก็โดนได้ถ้าไม่เข้มงวดป้องกันดีพอ ทว่าอะไรก็คงไม่เท่ากับความรู้สึกที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อแล้วต้องรับผิดชอบตัวเองด้วยการออกห่าง ก็นับเป็นเรื่องสะเทือนใจไม่น้อย โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวยิ่งแล้วใหญ่ จะคนรัก จะเพื่อน ต่างล้วนสนิทกันมานาน แต่จะเป็นยังไงถ้าโดนไวรัสที่ยังไร้หนทางแก้และกำลังตายอย่างช้าๆ เรื่องแบบนี้ก็ทรมานใจอยู่เหมือนกัน
อีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือการมีบทบาทของทหารที่เข้ามาควบคุมพื้นที่ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติตามมาตราฐานรักษาความปลอดภัยของชาติ ทว่าสิ่งที่น่าตกใจคือการกุมความลับเกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้โดยที่ไม่มีใครรู้มาก่อนแต่ทหารชั้นสูงรู้เท่านั้นจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ว่ายังคงแอบสร้างอาวุธชีวะภาพแบบลับๆเพื่อสงครามและเพื่อความเป็นมหาอำนาจของโลก เช่นเดียวกับเมื่อตอนเปิดเรื่องที่ไม่รู้ว่าคือไวรัสพันธุ์ไหนจนต้องทิ้งบอมบ์เพื่อกวาดล้างแต่หารู้ไม่ว่าก่อนหน้านี้ได้มีการขอเก็บตัวอย่างเลือด
แม้เนื้อหาจะไม่ได้คราบเกี่ยวถึงการสร้างอาวุธแต่อย่างน้อยก็เห็นอย่างหนึ่งว่าหลังจากเกิดการแพร่ระบาดจนเข้าขั้นวิกฤติทำให้นายพลบิลลี่ต้องยอมเปิดเผยความลับที่เก็บไว้นานเรื่องยาต้านไวรัสชนิดนี้ออกมาใช้ แน่นอนว่าแซมที่แม้จะทำงานสายนี้โดยตรงแต่ก็ไม่อาจรับรู้ในส่วนนี้ได้เลย ทว่าเชื้อที่เคยได้เอาไปสกัดนั้นยังไม่ดีพอจะสร้างภูมิคุ้มกันแต่คนได้ยกเว้นกับสัตว์ที่ติดเชื้อกลับรักษาได้ จึงเป็นประเด็นจิกเล็กน้อยที่ว่ามนุษย์กำลังถูกธรรมชาติลงโทษอย่างไม่หนทางเยี่ยวยา สุดท้ายแล้วธรรมชาติก็ควรถึงเวลาต้องรักษาสมดุลของมันเองใช่หรือไม่ แม้จะไม่ใช่ประเด็นหนักหนาอะไรแต่ก็พอจะเรียกว่าเมื่อถึงที่สุดมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องพึ่งพาตัวเองและไม่สามารถพึ่งอะไรไปได้กว่าการรวมมือกัน จะเห็นตลอดเรื่องเลยว่าแซมคือคนที่ตื่นตัวและพยายามหาหนทางตลอดขณะที่ฝ่ายนายพลบิลลี่ยังคงนิ่งเฉยต่อสถานการณ์
ถ้าพูดถึงการเล่าเรื่องของ Outbreak ยังคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสนุกอาจเพราะตัวหนังมีจุดที่ครบเครื่องอรรถรส ไมว่าจะแอ็คชั่น ดราม่า ทริลเลอร์ ที่สามารถเรียกความสนใจจากผู้ชมได้เป็นระยะๆ อีกทั้งที่จัดว่าเด็ดของเรื่องคือนักแสดงที่เป็นอะไรที่น่าจดจำของเรื่องอย่างมากไม่ว่าจะ Dustin Hoffman พระเอกของเรื่องที่เข้ากับคาแร็กเตอร์เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ,Rene Russo ภรรยาเก่าของแซมที่ไม่ใช่แค่เป็นตัวเสริมของหนังเพื่อดึงผู้ชมเพราะในเรื่องก็เป็นตัวละครสำคัญที่ทำงานเกี่ยวกับโรคระบาดด้วยเช่นกัน ,Kevin Spacey ในบทเคซีย์ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยและเพื่อนของแซม เป็นอีกหนึ่งตัวละครเด่นของเรื่องเลยก็ว่าได้ ,Morgan Freeman ขาดคนนี้ไม่ได้เพราะเป็นตัวละครที่แข็งนอกใจอ่อน บางมุมผู้ชมเห็นว่าเป็นตัวละครที่ไร้น้ำใจแต่บางมุมจะเห็นได้ว่าสิ่งที่สั่งไปนั้นเป็นอะไรที่ขัดใจตัวเองแทบทั้งสิ้นจนไม่แปลกใจถ้าสุดท้ายจะยอมเอาของที่เป็นความลับออกมาช่วยในท้ายที่สุด ,Cuba Gooding Jr. รับบทเป็นซอลท์นายทหารหน้าใหม่ที่เข้ามาทำงานร่วมกับแซม และที่เด่นของงานจนผู้ชมบางรายไม่ชอบหน้าคือ Donald Sutherland ในบทผู้บัญชาการสูงสุดที่เล่นได้น่าหมั่นไส้กับคำสั่งแต่ละอย่างที่เอาแต่หาผลประโยชน์มากกว่าจะเข้าไปยื่นมือช่วยจนแม้แต่นายพลบิลลี่ยังต้องรู้สึกผิดที่เห็นการกระทำของแซมด้วยความกล้าหาญ และอีกหลายคนที่แสดงได้ดี แต่ที่น่าสนใจคือการกระจายบทของแต่ละคนที่ไม่ทำได้เสมอกันดีแม้จะหายไปบ้างก็ตามที แต่ไม่รู้ทำไมกลับชอบนักแสดงของเรื่องนี้ที่เหมาะกับบทดีจริงๆ
ข้อดีของเรื่องนี้คือความสนุกแบบครบเครื่องแต่ก็มีข้อเสียที่น่าเสียดายในฐานะหนังที่เกี่ยวกับโรคระบาดคือความรู้สึกที่ยังหลวมทางเนื้อหาแม้จะพยายามเติมเต็มในส่วนนี้ด้วยการเรียกความน่าเชื่อถือด้วยการอิงเหตุการณ์และการดูตัวเชื้อโรคก็ตามที แต่ทว่าบางอย่างค่อนข้างดูจะไปเร็วเกินไปจนกลบเนื้อหาที่ดูซีเรียสทั้งที่ควรจะสมจริงออกมาตื่นตระหนกกลายเป็นสนุกกับลุ้นไปเสียแทน อย่างน้อยไม่ปฏิเสธอีกครั้งว่าทักษะการดำเนินเรื่องเป็นไปค่อนข้างต่อเนื่องจนน้อยครั้งจะมีความน่าเบื่อ ผลก็เลยออกมาดูสนุกไม่ผิดหวังไปโดยปริยาย
กระนั้นสิ่งที่ยังเป็นคอนเซ็ปต์คือตอนจบที่เดาทางกันได้อย่างสบายๆแม้จะพยายามหาอะไรมากระแทกใจผู้ชมก็ตามที แต่ไม่รู้ทำไมตอนท้ายเรื่องคือความสนุกที่ตื่นเต้นที่สุดในการหาต้นต่อของไวรัสที่ไม่ใช่แค่ดูเว่อร์จากการสืบสาวประติดประต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วด้วยทักษะของพระเอกกับฮอลลิคอปเตอร์เครื่องเดียวกับผู้ช่วยอีกหนึ่งเท่านั้น แต่ยังรู้สึกเป็นช่วงที่มันส์ด้วยเช่นกันในมุมของหนังแอ็คชั่นที่ไม่บอกว่ามันคือหนังเกี่ยวกับเชื้อโรคก็คงบอกเป็นหนังสงครามที่ใช้เครื่องบินไล่กวดกันอย่างเมามันส์ ก็เอาเป็นว่า Outbreak คือหนังที่ดูสนุกมีอะไรให้ลุ้นตลอด มีอืดบ้างเป็นบางช่วงทว่าโดยรวมคือความสนุกที่ดูเพลินตลอดเรื่องกันเลยทีเดียว