Vampires (1998) รับจ้างล้างพันธุ์แวมไพร์

 
Vampires (1998) | รับจ้างล้างพันธุ์แวมไพร์
Director: John Carpenter
Genres: Action | Horror | Thriller
Grade: C
 
 เรื่องสร้างหนังทุนต่ำไว้ใจผู้กำกับ John Carpenter ได้อย่างไม่ต้องมีปัญหาเพราะแกไม่ชอบอะไรที่อลังการงานสร้างจะมาเน้นลูกเล่นกับความแปลกใหม่ที่น่าจะใหม่มากกว่า ดูเอาจากทุนสร้างเดิม 50 ล้านสหรัฐเหลือ 20 ล้านสหัฐไปซะนี่ ผลที่ได้จึงกลายเป็นหนังนักล่าแวมไพร์สไตล์คาวบอยโทนเม็กซิกัน มีแต่ต้นหญ้าแห้งๆ สถานที่โล่งๆ ท้องถนนเปื้อนฝุ่น และสิ่งก่อสร้างที่ทรุดโทรม ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นอย่างที่บอกทั้งเรื่องหรอกนะไม่งั้นคงหิวน้ำระหว่างดูแน่ๆเพราะในเรื่องบรรยากาศเป็นช่วงฤดูร้อน แต่มันก็แปลกใช่ไหมล่ะว่าแวมไพร์ไปอยู่ที่ๆแสงแดดเปรี้ยงปร้างกันได้ยังไง จะบอกว่านี้คือความใหม่ของเรื่องนี้แหละ แวมไพร์อยู่กลางดงความแห้งแล้งที่น่าจะโดนเผาแต่ดันอยู่ได้ประกอบกับทีมนักล่าที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากมาเป็นแก๊ง 7-8 คนอย่างกับสิงมอเตอร์ไซค์ไม่มีผิด อารมณ์ประมาณนักเลงเก๋ามีอายุหน่อยมาฉะกันไม่มีผิด แค่นั้นคงไม่พอโดยเฉพาะเนื้อเรื่องฉบับดั้งเดิมอลังการกว่าที่มาเป็นองค์กรนักล่าแวมไพร์ คือทุกอย่างเป็นหนังใหญ่แต่พอมาถึงมือผู้กำกับท่านนี้ก็ทุนต่ำไปโดยปริยาย นึกว่าลองของแปลกก็ไม่เลวเพราะนานทีจะมีอะไรที่ผิดหูผิดตาให้ดู เป็นอีกความน่าสนใจที่ไม่น่าลงตัวแต่เอาจนได้


ถามว่าทุนต่ำแล้วจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง อย่างแรกคือบรรยากาศที่บ่งบอกความเท่ของคาวบอย(ไม่ใช่คาวบอยไล่ยิงแวมไพร์นะ) ทั้งสีหน้า อารมณ์ การเล่าเรื่องเองออกจะทื่อๆด้วยซ้ำแต่ยังเท่ได้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเนื้อเรื่องหามีอะไรน่าแปลกแค่กลุ่มนักล่าแวมไพร์ที่ประกอบด้วยตัวละครหลักๆ เช่น แจ๊ค โครว์ (James Woods) หัวหน้าแก๊ง(จะบอกว่าหัวหน้าทีมก็ดูจะไม่เชิงแต่หัวหน้าแก๊งท่าจะเหมาะกว่า)ที่ได้รับการสนับสนุนจากศาสนจักรหนุนหลังออกทุนให้บรรลุเป้าหมาย มีปมในใจกับพวกแวมไพร์มาแต่อดีตที่ทำให้เสียพ่อแม่ไปและแอนโธนี่ มอนโตย่า (Daniel Baldwin) คู่หู่คู่มือทำงานร่วมกันกำจัดแวมไพร์มานักต่อนัก ทว่าครั้งนี้แวมไพร์ที่จะไปถล่มมีอำนาจและทรงพลังกว่าพวกธรรมดาอย่างที่เคยเจอที่นำทีมโดยวาเลค (Thomas Ian Griffith) แต่เมื่อไปถล่มรังต้องผิดแผนเมื่อตัวหัวหน้าเกิดไม่อยู่จะมีเพียงสมุนเท่านั้น ด้วยความไม่คาดคิดอะไรการมากำจัดแวมไพร์ได้นับเป็นอีกความสำเร็จที่ทุกคนดีใจและฉลองความสุขหลังเลิกงาน นั้นจึงเข้าแผนวาเลคมาถล่มกลุ่มแจ๊คเละไม่เป็นชิ้นดีตอนเผลอและรอดกันมาแค่ 2 คนกับแคทริน่า (Sheryl Lee) โสเภณีคนสวยที่โดนวาเลคกัดติดมาด้วยอย่างบังเอิญ แจ๊คจึงต้องหนีมาตั้งหลักวางแผนใหม่ก่อนจะรู้แผนการของวาเลคมีวัตถุประสงค์คือกางเขนดำสิ่งที่ช่วยให้แวมไพร์สามารถทนต่อแสงแดด เอาสิถ้าปล่อยไว้ไม้ตายเดียวที่ชนะแวมไพร์ได้เป็นจบแน่นอน

ตอนแรกหนังยังโอเคอยู่นะเพราะยังดูมีทุน มีการล่าเป็นทีมทำให้เราเห็นวิธีกวาดล้างแวมไพร์แบบบ้านๆที่เกิดในตอนกลางวันและกลางคืนพักผ่อน แต่พอจบช่วงแรกของหนังไปก็กลายเป็นว่านักแสดงที่เล่นกันจริงมีไม่กี่คนและมักเป็นตัวหลักทั้งนั้นและจะฮามากเมื่อรู้ว่าตอนแรกกลุ่มแจ๊คมาเท่ยังไงตอนแพ้นี้กลายเป็นคนละเรื่องไปเลย เป็นการแสดงความเสี่ยงที่เกิดจากงานที่ทำด้วยความประมาทแล้วอย่างหนึ่งแต่โดยส่วนตัวนึกเสียดายตัวละครอื่นๆที่โผล่มาแค่ตอนเปิดก็พากันตายอนาถไปหมดซะแล้ว เป็นการตัดบทบาทที่ว่านอนสอนง่ายเสียนี้กระไร เข้าใจเลยความอยากทำหนังทุนต่ำกับมีทุนต่ำมันเป็นแบบนี้เอง


เป็นข้อแตกต่างที่เหมือนกันที่ใช้ทุนต่ำแต่อีกอย่างต้องการประหยัดงบให้หนังดูดิบดูเถื่อนกับอีกอันไม่มีงบจะใช้ แม้รูปลักษณ์จะไม่ต่างกับหนังทุนต่ำเกรดบีทั่วๆไปแต่ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือทักษะการเล่าเรื่องที่พยายามดึงมาใช้ให้มากที่สุดแม้จะไร้หนทางต่อยอดก็ตามจึงช่วยให้มีน้ำมีเนื้อเพิ่มขึ้นถึงความจริงของ Vampires จะไม่มีอะไรให้เล่าก็ตามเนื่องจากเป็นเพียงเนื้อเรื่องสั้นๆของนักล่าแวมไพร์ผู้ตกอับที่ต้องการเอาคืนแวมไพร์ แม้เนื้อเรื่องจะไม่มีอะไรเลยประกอบกับความทุนต่ำที่ทำให้หนังดูหยาบๆไปบ้างแต่เสน่ห์ที่แรงกล้าที่สุดคือนักแสดงที่เหมาะกับคาแรกเตอร์ โดยเฉพาะ James Woods ที่เสมือนหลุดมาจากหนังคาวบอยด้วยท่าทางยืนนิ่ง วางมาด และคุ้นคิดตลอดเวลา ที่สำคัญมีความเตะตามากกว่าใครๆในเรื่องขนาดแวมไพร์ที่น่าจะเรียกความสนใจยังต้องอาย นับเป็นการเคสนักแสดงที่ช่วยยกระดับตัวหนังได้ดีทีเดียว ในขณะที่นักแสดงอื่นๆไม่มีอะไรมากขนาดกับ Daniel Baldwin ยังคงเฉยๆ ที่ดูเรียกความสนใจมาน้อยคือ Sheryl Lee ตามสไตล์หนังสยองขวัญที่ต้องมีอาหารตา ส่วนจะอะไรนั้นคอหนังสยองขวัญน่าจะเข้าใจกันดี

เป็นอีกเรื่องที่บ่งบอกศักยภาพการทำงานของผู้กำกับ John Carpenter ที่เริ่มหมดไฟ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็อยากจะอำลาวงการอยู่ก่อนแล้วเพียงได้รับการติดต่อให้มากำกับเรื่องนี้เพื่อต้องการจะปัดฝุ่นจะได้ไม่เสียของแล้วผลที่ได้คือความไม่หวือหวาครั้งสมัยใหม่ๆอย่างที่เคยทำมาก่อน เช่น  Halloween (1978) , The Thing (1982) , The Fog (1980) และ  In the Mouth of Madness (1994) ซึ่งที่กล่าวมาล้วนเป็นหนังสร้างชื่อในประเภทหนังสยองขวัญทั้งนั้น และมีเอกลักษณ์ของตัวเองไม่ซ้ำใครอีกด้วย ในขณะที่เรื่องนี้ก็สร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวเองได้เช่นเพียงพล็อตเรื่องออกจากง่ายเกินไปและเนื้อเรื่องเองก็ไม่มีอะไรจะเล่าเท่าไหร่อีกด้วยทำให้ชวนนึกถึงหนังเรื่อง From Dusk Till Dawn (1996) ที่อารมณ์แห้งแล้งอากาศร้อนเหมือนกันแต่การเล่าเรื่องกลับเหนือกว่าโดยเฉพาะการหาอะไรใหม่ๆเข้าไปจึงดูไม่น่าเบื่อ ที่สำคัญคือความตลกร้ายพลิกแพลงการเล่าเรื่อง ซึ่งกับ Vampires ได้ขาดจุดนี้ไปกลายเป็นหนังที่น่าสนใจตอนเริ่มเรื่องแต่หลังจากนั้นก็ขาดความน่าสนใจค่อยๆหมดมุขอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยยังมีข้อดีคือเล่าเรื่องเร็วไม่ถึงขั้นอืดอาดเกินไปและตัวละครเองก็มีมิติเชิงคู่หูระหว่างแจ๊คกับแอนโธนี่เสมือนเพื่อนตายช่วยเสริมความน่าดู นอกนั้นก็หาอะไรไม่ค่อยได้ล่ะ


ถ้าจะหาอะไรสนุกๆเป็นจริงเป็นจังไม่ใช่เรื่องนี้แน่นอน ถ้าเอาสนุกพอเพลินยังให้คำตอบได้นะเรื่องนี้เพราะในส่วนฉากแอ็คชั่นกับฉากสยองๆจัดว่าสนุกพอควรเลยทีเดียว โดยส่วนตัวชอบตอนเปิดเรื่องที่สนุกอาวุธเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมล่าเป็นทีมทำให้ดูมีความสมจริง แง่ความเป็นหนังแวมไพร์จะดูเข้ากันแต่ถ้าอะไรที่แหวกแนวคงไม่ค่อยมีนอกจากแวมไพร์ที่โผล่มาจากดิน ทำนองหาที่อยู่มืดๆไม่ได้ต้องมุดลงดินหลบแดดก็ดูฮาไปอีกแบบ แต่ที่ฮาและทะเล้นจริงๆคือแคทริน่าที่ถูกแวมไพร์กัดดันไม่ได้ถูกกัดที่คออย่างที่เรารู้กันตามธรรมเนียมหนังแวมไพร์เพราะคอจะมีเส้นเลือดให้ดูดดื่ม แต่นี่ไปกัดตรงนั้นของผู้หญิงน่ะสิ ฟังไม่ผิดหรอกแม้จะไม่เห็นชัดๆว่ากัดอะไรเพียงแค่มุมกล้องกับท่าทางที่ไม่ต้องบอกก็ชัดเจนแล้วจะกัดตรงไหน นึกซะว่าเป็นอีกความฉลาดของแวมไพร์ที่ดูแปลกๆแต่คนที่เป็นแวมไพร์จะมีรอยกัดที่คอที่ดูได้ง่ายแต่นี่จะให้สำรวจร่างกายคงต้องลงลึกกันหน่อยล่ะ บางคนคงสงสัยกับตัวละครแคทริน่าที่มาพัวพันกับเรื่องนี้ได้ยังไงอันนี้มีคำตอบคือแคทริน่าถูกกัดแล้วมีจิตสื่อถึงพวกเดียวกัน เอาง่ายๆคือแจ๊คเก็บตัวเธอไว้ใช้งานตามล่าวาเลคโดยไม่ต้องตามสืบให้เสียแรง อย่างน้อยช่วยอุดช่องโหว่ของหนังในจุดนี้ไปโดยปริยายที่จะเจอก็เจอนั้นไม่ใช่ เพราะนี่มีเหตุผลพร้อม ส่วนตัวหนังจะสนุกมากแค่ไหนสำหรับเรื่องนี้ต้องขึ้นกับรสนิยมด้วยอย่างหนึ่งเนื่องจากความเท่ในตัวแบบคาวบอย ช่วงแรกสนุกน่าตื่นเต้น ช่วงกลางค่อนข้างน่าเบื่อไม่มีอะไรน่าสนใจ มาอีกทีตอนท้ายที่น่าลุ้นน่าสนุกขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ไม่ดีแค่ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่เท่านั้นเอง ถ้าดูเอาเพลินก็พอตัวเลยแหละ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)