Non-Stop (2014) เที่ยวบินระทึก ยึดเหนือฟ้า

Non-Stop (2014)
เที่ยวบินระทึก ยึดเหนือฟ้า
Director: Jaume Collet-Serra 
Genres: Action Mystery Thriller
Grade: B-
 
 คงไม่ผิดอะไรถ้าจะขอเริ่มบอกว่าเรื่องนี้มีดีมาตลอดจนกระทั่งไคล์แม็กซ์ทำให้ตกอยู่สภาพตกม้าตายเป็นท่าดีทีเหลวกลายเป็นอีกอารมณ์ไปเลย นั้นเพราะการเฉลยค่อนข้างคลุมเครือไม่สามารถเอาความดีในส่วนแรกของหนังมาประคับประคองไปตลอดรอดฝั่งได้ทั้งที่เนื้อเรื่องก็น่าสนใจประกอบการเล่าเรื่องก็ช่วยให้น่าลุ้นระทึกตลอดเวลา นั้นทำให้นึกถึงหนังที่มีสถานการณ์บนเครื่องบินอย่าง Red Eye (2005) ที่เล่นสถานการณ์ปิดตายโดยมีนางเอกกับตัวร้ายแค่สองคนบนเครื่องแถมตัวร้ายก็เลือกจะไม่ปกปิดฐานะตัวเองแต่เลือกจะเปิดเผยอย่างใจเย็นพร้อมคุมสถานการณ์อย่างอยู่หมัด ผิดกับเรื่องนี้ที่มีสภาพเป็นแมวไล่จับหนูที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่บนเครื่องบิน โดยมีบิลล์ มาร์สค์ (Liam Neeson) ตำรวจอากาศมีหน้าที่แฝงตัวเข้ามาเป็นผู้โดยสารเครื่องบินเพื่อสำรวจตรวจการต่างๆระหว่างเดินทาง จนกระทั่งพบกับข้อความที่จู่ๆก็ส่งมายังมือถือพร้อมกับข้อเสนอให้ส่งเงิน 150 ล้านเหรียญมาตามบัญชีที่บอกไม่งั้นจะมีคนบนเครื่องบินตายทุก 20 นาที จากข้อความเปล่าที่ส่งมาเป็นคำขู่อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับบิลล์ที่ตั้งใจส่งมาแกล้ง ทว่าบางอย่างทำให้บิลล์เริ่มไม่ไว้ใจกับข้อความที่ส่งมาแค่ขู่เพราะบิลล์เริ่มรู้สึกแปลกใจที่ข้อความที่ส่งมาล่วงรู้ว่าเขาคือใคร ทำงานอะไร กำลังทำอะไรอยู่ และที่ทำให้บิลล์หัวเสียขึ้นมาทันทีคือการรู้อดีตว่าเคยมีลูกสาวตัวน้อยซึ่งนั้นได้ส่งกระทบต่อชีวิตบิลล์มามากมาย ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเริ่มตระหนักถึงการส่งความที่ไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไปและสถานการณ์ก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเพราะไม่อาจหาเบาะแสใดๆจน 20 นาทีผ่านไปมีคนตายจริงๆ


พล็อตเรื่องไม่จัดว่าสดใหม่อะไรที่ต้องให้พระเอกอยู่บนเครื่องบินพร้อมกับผู้ร้ายที่ค่อยเล่นงานในจังหวะเหมาะเจาะพร้อมกับสถานการณ์ปิดที่ไม่ต้องไปไหนแค่วนเวียนภายในเครื่องบิน ก็คล้ายๆ Air Force One (1997) ที่มีผู้ร้ายยึดเครื่องบินแต่นายกที่เป็นพระเอกในเรื่องต้องซ้อนตัวและจัดการผู้ร้ายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตรงกันข้ามกับเรื่องนี้ที่ให้ผู้ร้ายซ่อนตัวในกลุ่มผู้โดยสารที่มองไปทางไหนก็สามารถเป็นคนร้ายได้ทั้งนั้นแถมยังเล่นตลกกดส่งข้อความมาหาได้อย่างสบายใจโดยไม่กลัวเลยว่าจะโดนจับได้หรือไม่ แน่นอนว่าการส่งข้อความถึงบิลล์ว่าทำอะไรอยู่เป็นสิ่งแรกที่คิดได้ทันทีคือคนร้ายแฝงตัวในผู้โดยสารเนื่องจากรู้ทันตลอดว่าจะทำอะไรต่อไป ที่สำคัญยังกำหนดความตายให้คนนั้นได้เมื่อครบตามกำหนดเวลาไม่พลาดแม้แต่นาทีเดียว ทว่าสิ่งที่ทำให้แปลกประหลาดใจอย่างหนึ่งทั้งตัวละครในเรื่องกับผู้ชมคือสาเหตุการตายที่จับต้นชนปลายไม่ได้ว่าเกิดเพราะอะไร นับเป็นเรื่องน่าสนใจที่พากันตายตามเวลาอย่างไร้สาเหตุและกับบางครั้งก็เซอร์ไพร์สการตายอย่างไม่ทันระวังตัวขนาดที่คุยอยู่ดีๆก็ล้มลงต่อได้ไปเฉยๆ นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่เก็บเอาไว้เฉลยตอนท้ายเรื่องซึ่งถ้าเป็นไปได้อยากให้บทหนังเขียนการตายให้เนียบเนียนกว่านี้จะดีกว่าเพราะมีความรู้สึกมีจังหวะที่ไม่น่าเป็นไปได้อยู่ค่อนข้างมากในการทำให้ใครคนหนึ่งต้องตายทุก 20 นาที แต่ใครจะตายลำดับต่อไปหรือพยายามห้ามไม่ให้เกิดการตายดูจะลุ้นไม่เบาเนื่องจากคนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงบิลล์และพยายามหาตัวคนร้ายโดยปกปิดทุกอย่างเอาไว้จนสภาพของตัวเองไม่ต่างจากผู้ร้ายจากสายตาผู้โดยสารทั้งลำ


ตัวละครประเภท Anti-Hero มีจุดเด่นตรงที่ไม่มีด้านที่ขาวสะอาดแต่เป็นสีเทาที่พร้อมจะแหกกฎได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกับฉากระบายความเครียดกับการสูบบุหรี่ในห้องน้ำผู้โดยสารแบบระมัดระวังปิดสัญญาณเตือนภัยควันไฟไหม้อย่างดีทั้งที่เป็นข้อห้ามห้ามสูบบุหรี่บนเครื่องบินแถมตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่อีกต่างหาก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมิติตัวละครพระเอกที่คงไม่ได้ออกมาอารมณ์ดีอยู่แล้วแน่นอนและอาจมีปมอะไรสักอย่างในใจที่ทำให้เป็นแบบนี้ ทว่าพระเอกประเภทชอบลุยใช้กำลังและใจร้อนอาจไม่เป็นที่ถูกใจมากเท่าไรเนื่องจากทำให้เต็มไปด้วยความสงสัยแบบที่ผู้โดยสารในเครื่องบินทุกคนมองว่านี้มันเกิดเรื่องอะไรกัน แล้วเหตุการณ์ต่อมาคือความวุ่นวายและสับสนระหว่างบิลล์ที่พยายามหาตัวคนร้ายโดยปิดเป็นความลับพร้อมกับกระทำกับทุกวิถีเพื่อหาต้นตอ แน่นอนว่าการทำอะไรแบบลุยๆไม่เกรงใจใครกลายเป็นการลดความน่าเชื่อถือของความเป็นพระเอกลงแม้ใจแท้ตัวผู้ชมจะเชียร์เพราะรู้ในสิ่งที่ทำลงไปเป็นเรื่องปลอดภัยไว้ก่อน แต่กรณีไม่รู้เรื่องรู้ราวจะคิดแบบไหนที่จู่ๆโดนสั่งให้ทำโน้นทำนี้ทั้งที่นั่งสบายบนเครื่องบิน สุดท้ายต้องมีการต่อต้านเกิดขึ้นเนื่องจากไม่รับรู้ความจริงอะไรเลยและนั้นทำให้พระเอกที่มีคราบของสีเทาถูกมองเป็นผู้ร้ายเสียเองเพราะเอาแต่สั่งกับบังคับไม่ต่างกับการจี้เครื่องบิน สิ่งแรกที่เห็นคือความสามัคคีที่ยังเชื่อฟังเจ้าหน้าที่แต่ต่อมาความจริงเริ่มเปิดเผยว่ามีคนตายก็กลายเป็นอีกอย่างทันที ทว่าบิลล์ยังไม่บอกถึงเรื่องราวทั้งหมดจนโดนมองเป็นผู้ร้ายเนื่องจากมีประวัติเสียหลายอย่างประกอบกับการกระทำที่เน้นรุนแรงจนใช่ว่าใครจะรับได้ ประเด็นอย่างหนึ่งที่สะท้อนสังคมเกี่ยวกับ Anti-Hero คือยังไม่เป็นที่ยอมรับเพราะโดนมองเป็นคนไม่ดีซึ่งอันที่จริงเป็นเพิ่งเปลือกนอกเท่านั้น ส่วนจะยอมรับหรือไม่นั้นมักมาจากสิ่งที่เห็นจากข้อสรุปมากกว่าต้นเหตุทั้งหมดซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ขึ้นกับการยอมรับของสังคม


เจน ซัมเมอรส์ (Julianne Moore) ตัวละครที่เน้นรองมาจากพระเอกและเป็นเสมือนคู่หูบิลล์เพราะบังเอิญไปรู้เรื่องเพราะได้รับการไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่งทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ในฐานะคนแปลกหน้า ประเด็นคือบิลล์มองเจนให้ความสำคัญกับชีวิตที่เคยผ่านช่วงบั้นปลายชีวิตมาก่อนและพยายามหาความสุขกับสิ่งสุดท้ายก่อนตายเวลาได้ขึ้นเครื่องบินด้วยการนั่งขอบหน้าต่างมองท้องฟ้าดีกว่าการนั่งตรงทางเดิน เป็นเรื่องดีไม่น้อยกับมิติตัวละครที่ไม่ได้วกเวียนกับแค่พระเอกของเรื่องที่ให้มุมมองใหม่ๆบ้างเพราะไม่ว่ายังไงสิ่งที่เห็นตลอดทั้งเรื่องคือห้องผู้โดยสารกับห้องกัปตันและห้องน้ำ ข้อดีที่ตัวละครพอมีมิติแต่กับข้อเสียเรื่องเหตุการณ์ดูคับแคบเกินไปแทนที่จะสำรวจเครื่องบินให้มากกว่านี้ อย่างน้อยการจำกัดวงให้แคบขึ้นแล้วฟันธงเกี่ยวกับคนร้ายต้องปะปนมาในกลุ่มผู้โดยสารก็พอเป็นไปได้สูง ทว่าถ้าคิดในแง่ผู้ก่อการร้ายอาจแฝงแอบตัวในเครื่องบินแทนที่จะเป็นผู้โดยสารผ่านการตรวจอย่างดีทำให้ขาดความน่าเชื่อถือไปหน่อย การเล่าเรื่องยอมรับว่าลงตัวหลายอย่างตั้งแต่ให้ตัวเอกไม่ใช่คนดีและมีปมในใจจนไม่แน่ว่าบางทีทุกอย่างเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะผู้ร้ายแต่เป็นการกระทำของพระเอกเสียมากกว่า มองอีกแง่การเป็น Anti-Hero มีทั้งข้อดีข้อเสียหลายอย่างแต่ส่วนมากจะกลายเป็นข้อเสียที่ไร้การยอมรับถึงวิธีการอันรุนแรง นั้นทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบในเหตุการณ์ 9/11 ที่มีผู้ก่อการร้ายยึดเครื่องบินได้สำเร็จและดิ่งเครื่องชนตึกเวิร์ดเทรดจนย่อยยับ ในสถานการณ์เช่นนี้สมมติมีคนที่ขัดขวางผู้ก่อการร้ายแบบในเรื่องนี้จะเชื่อกันหรือไม่ในเมื่อเคยมีโศกนาฏกรรมเช่นนั้นมาก่อนจริงๆ บางทีการช่วยอาจจะดูขัดแย้งจนเกิดวิตกนึกจี้เครื่องบินแต่เนื้อแท้คือกำลังช่วยโดยให้คนร้ายรู้ตัวช้าที่สุดก็เป็นได้


Non-Stop ได้ดีกรีหลายอย่างตั้งแต่พล็อตเรื่องที่น่าสนใจของการปะทะระหว่าง Anti-Hero กับคนร้ายที่รู้ทุกอย่างและวางแผนอย่างรัดกุมขนาดท้าหากไม่ทำตามจะมีคนตายทุก 20 นาที การเล่าเรื่องช่วงแรกยังไม่มีอะไรนอกจากสำรวจตัวละครให้เกิดคุ้นชินก่อนจะเข้าเรื่องแบบไม่ต้องหยุดหาต้นตอคนร้ายโดยไม่มีเบาะแสนอกจากข้อความที่ส่งมาลอยๆในมือถือซึ่งจะหาได้ยังไงในเครื่องบินที่มีผู้โดยสารไม่ใช่น้อย การสร้างความกดดันและรีบเร่งอาจจะดูเป็นไปอย่างช้าๆแต่ก็มีการวางแผนอย่างระมัดระวังไม่ได้ลุยอย่างเดียวเสมอไป ทั้งนี้ต้องกล่าวได้ว่า Liam Neeson แสดงเข้ากับคาแรกเตอร์อย่างสมบทบาททำให้เห็นความเครียดตลอดเวลาเหมาะกับแนว Anti-Hero อย่างเห็นได้ชัดพร้อมยังช่วยทำให้ตัวละครนี้มีปมที่ดูน่าเชื่อถือเรื่องการเสียลูกสาวเพราะหมกหมุ่นกับงานจนลืมดูแลลูกตัวเองในภาวะไม่เหลืออะไร

น่าเสียดายที่การเล่าเรื่องบางครั้งยังดูคับแคบเกินไปจนมีจุดที่ละลเลยอยู่หลายอย่างจนเป็นเหตุให้การเฉลยดูผิดคาดค่อนข้างมาก แทนที่จะเซอร์ไพรส์ให้ตกใจก็กลายเป็นความตกใจในแบบก่ำกึ่งของอารมณ์ที่ยังไปไม่สุดของการเฉลยที่เคลียร์ประเด็นอย่างง่ายๆ โดยเฉพาะการเฉลย 20 นาทีจะมีคนตายที่เหมือนจะโอเคทว่ากลับดูไม่ยากอย่างที่คิดเมื่อรู้ความจริง และเมื่อเฉลยเสร็จเรียบร้อยจากสภาพหนังระทึกขวัญกลายเป็นแอ็คชั่นที่มีตอนจบไม่เกินคาดเดาทันทีแถมที่ไม่น่าใส่มาคือให้ผู้ร้ายเถียงกันเองเรื่องตอนจบของแผนที่อีกคนเป็นอีกแผนอีกคนจะเอาอีกแผนทั้งที่ปากบอกอย่างชาญฉลาดต่อหน้าพระเอกว่าคิดอะไรคิดล่วงหน้าก่อนไว้แล้วหลายพันเท่า อาจจะดูโม้แต่จริงที่คุมสถานการณ์ได้หมดจนพระเอกถูกมองเป็นผู้ร้ายเสียแทน แม้เหตุผลของการเฉลยจะดูตามประสาผู้ก่อการร้ายไปหน่อยแต่ไคล์แม็กซ์วิธีรู้ว่าใครคือคนร้ายนี่แหละที่รวดเร็วจนไม่น่าเชื่อถือที่สุด แต่โดยรวมเป็นหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญที่สนุกใช่ได้แค่มาพลาดท่าในจุดเฉลยซึ่งจะว่าสนุกตามแอ็คชั่นคงไม่ผิดเพราะความระทึกขวัญซ่อนเงื่อนมันหายไปหมดตั้งแต่รู้ว่าคือผู้ร้ายแล้ว ดังนั้นไคล์แม็กซ์คือแอ็คชั่นที่เดาได้และมีเนื้อเรื่องที่ระทึกขวัญกดดันที่พอลุ้นสนุกกำลังดี

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)