U.S. Marshals (1998)
คนชนนรก
Director: Stuart Baird
Genres: Action | Crime | Thriller
Grade: B
ไม่ใช่ภาคต่อที่มีความเกี่ยวข้องกับ The Fugitive (1993) แต่เป็นการหยิบยืมตัวละครแซมมวล เจอราร์ด (Tommy Lee Jones) ผู้ตรวจการสหรัฐมาสานต่อเนื้อเรื่องใหม่โดยยังคงพล็อตเรื่องเกี่ยวกับนักโทษหลบหนีเช่นเคย ซึ่งคนที่หนีคือมาร์ค เชอริแดน (Wesley Snipes) ชายผิวดำที่หลบหนีไประหว่างส่งตัวนักโทษด้วยเครื่องบิน ในขณะที่ทางเนื้อหาจะไม่แตกต่างจากภาคก่อนที่ยังเกี่ยวกับแพะรับบาปและต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ผิดจึงทำการหลบหนีเพื่อไปหาความจริงที่ทำให้ตัวเองถูกจับ จะเห็นว่าในทางเนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากแค่หวังเอามันส์อย่างเดียว ความมันส์ที่ว่าคือการไล่ล่าระหว่างผู้หนีที่เป็นนักโทษกับผู้ไล่ตามที่เป็นเจ้าหน้าที่ ในภาคต่อนี้จะมุ่งเน้นไปที่อารมณ์ของแอ็คชั่น-ทริลเลอร์เป็นหลักผิดกับภาคแรกที่เน้นทางทริลเลอร์ไล่ล่าอย่างเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ การเสริมแอ็คชั่นเข้ามาจึงกลายเป็นอีกขั้นของความมันส์กับเนื้อเรื่องที่ค่อยมีอะไรแต่พอมีจะอุดมไปด้วยความสนุกขึ้นมาทันที
U.S. Marshals จะเล่าเรื่องของแซมมวลให้มากขึ้นและพยายามบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝีมือดีที่อยู่ในช่วงอายุมากหรือกำลังแก่ตัวลง ส่วนมาร์คจะเล่าถึงความบังเอิญระหว่างหลบหนีอันเป็นชนวนให้ตัวเองถูกจับเข้าคุกเพราะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วถูกพบปืนที่ซ่อนอยู่และนำไปสู่การฆาตกรรม 2 ศพ แน่นอนว่ามาร์คไม่ได้ตั้งใจจะยิงใครและพยายามบอกว่าเป็นการป้องกันตัวมากกว่า ทว่าการฆ่าคนตายทำให้มาร์คไม่อาจหลีกเลี่ยงการติดคุกได้และต้องถูกส่งไปเรือนจำ แต่กว่าจะไปถึงเรือนจำต้องไปด้วยเครื่องบินบรรทุกนักโทษ ต่อมาไม่นานภายหลังเครื่องบินเกิดเสียหายเพราะมีนักโทษคนหนึ่งพยายามฆ่ามาร์คแต่พลาดจนตัวเครื่องบินเกิดเสียหายต้องลงจอดฉุกเฉินและกลายเป็นอุบัติเหตุการลงจอดที่ทำให้มาร์คได้โอกาสหนีไปในที่สุด ทว่าเครื่องบินที่มาร์คมาด้วยนั้นมีแซมมวลอยู่ด้วย ซึ่งนั้นทำให้แซมมวลเพ่งเล็งมาร์คในทันทีที่จับได้ว่านักโทษหายตัวไป พอมาถึงจุดนี้ต้องยอมรับว่าค่อนข้างเซอร์ไพรส์ที่มีฉากวินาสสันตะโรแบบเดียวกับภาคแรก จะแตกต่างตรงที่ภาคแรกใช้รถไฟชนรถขนนักโทษจนเกิดความเสียยับเยิน พอภาคนี้เป็นตัวเครื่องบินเสียหายและพยายามลงจอดแต่ผิดพลาดจนนำไปสู่หายนะการเอาตัวรอดของเจ้าหน้าที่กับนักโทษ จะว่าไปแล้วฉากหลบหนีช่วงแรกๆคือฉากที่ลุ้นและยิ่งใหญ่ที่สุดของเรื่องแล้วก็ว่าได้ เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้อลังการนอกจากการไล่จับกับซ่อนตัวที่น่ามันส์ระทึก
โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบไม่ต่างจากภาคแรกที่ยังคงความระทึกจากการไล่ล่าตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบชนิดกัดไม่ปล่อยกันเลยทีเดียว ซึ่งต้องยกให้กับแซมมวลตัวละครที่ดูแก่แต่ยังเผ็ดพร้อมลุยงานได้ทุกสถานการณ์ไว้ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ถ้าไม่เชื่อลองหา The Fugitive ที่เป็นภาคก่อนหน้านี้มาดูจะรู้ว่าต่อให้เข้าป่าขึ้นเขื่อนบุกเมืองก็ทำมาแล้ว ไม่มีอะไรที่จะดูการตามจับของแซมมวลได้เลย เช่นเดียวกับมาร์คที่ถูกไล่จับจากเจ้าหน้าที่ไม่ลดละตั้งแต่เครื่องบินตกน้ำจนต้องเข้าป่าเข้าหนองน้ำจนเข้าเมืองตลอดจนหนีตามไปถึงสุสานก่อนจะลงที่เรือเป็นลำดับสุดท้าย กระนั้นความเป็นทริลเลอร์ที่ออกแนวจริงจังกับการเล่าเรื่องยังแฝงด้วยอารมณ์ขันตลอดเวลาจนไม่มีความน่าเบื่อเลยสักนิดเดียว ส่วนอารมณ์ขันนั้นไม่ได้มาจากไหนเลยถ้าไม่ใช่ลูกทีมของแซมมวลทั้ง 4 คน ได้แก่ คอสโม เรนโฟร (Joe Pantoliano),บ๊อบบี้ บิ๊ก (Daniel Roebuck),โนอาห์ นิวแมน (Tom Wood) และ ซาวันน่า คูเปอร์ (LaTanya Richardson Jackson) ที่สนับสนุนแซมมวลประหนึ่งเพื่อนรวมทีมอย่างเต็มที่ เวลาทำงานคืองาน เวลาพักเบรกจะมีมุขสอดแทรกสไตล์คนกันเอง นับเป็นอีกสีสันเล็กๆของเรื่องที่ช่วยให้ความจริงจังดูผ่อนคลายลงบ้าง ที่สำคัญคือเหมือนจะเน้นการทำงานเป็นทีมมากขึ้น ไม่เหมือนกับภาคก่อนที่หนักไปทางแซมมวลมากไปหน่อย ทำให้ภาคนี้ดูมีความเป็นทีมและทุกคนสำคัญจนขาดไม่ได้
สังเกตว่าทุกครั้งที่แซมมวลอยู่คนเดียวโทนหนังจะจริงจัง แต่พอเมื่ออยู่กับทีมจะดูเป็นกันเองเหมือนมีที่พึ่งก็ว่าได้ เพราะว่าทุกคนจะมีหน้าที่ของตัวเองในการหาข้อมูลและสืบหาความจริงเกี่ยวกับการหลบหนีของมาร์ค พยายามเก็บข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ทุกอย่างเพื่อวิคราะห์ว่าจะหลบหนีไปไหนและทำอะไรต่อไป ถือว่าเป็นการชิงไหวพริบของทั้งสองฝ่ายที่ต้องแข่งกับเวลาและแข่งกับตัวเอง ทว่าทีมของแซมมวลได้สมาชิกเพิ่มเพราะคำสั่งให้เจ้าหน้าที่พิเศษจอห์น รอยซ์ (Robert Downey Jr.) เข้าร่วมปฏิบัติงานนี้ด้วย ส่วนสาเหตุการเข้าร่วมปฏิบัติงานคือการตามล่ามาร์คที่ฆ่าเพื่อนเของเขาทั้งสอง ตรงนี้เหมือนหนังพยายามทำบางอย่างคือการทำให้มาร์คกับจอห์นสนิทสนมและเชื่อใจกัน ตัวอย่างเช่นการวิเคราะห์ข้อมูลการหลบหนีของมาร์คโดยมีสถิติของตัวเองไม่เหมือนใคร การโชว์ฝีมือในการไล่ล่า ตลอดจนการตัดสินด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีจอห์นเข้ามาทำให้ทีมของแซมมวลดูกระฉับกระเฉงและรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีอีกตัวละครสำคัญอย่างแมรี่ (Irène Jacob) คนรักของมาร์คที่คอยแอบสนับสนุนให้มาร์คเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย ซึ่งในจุดนี้เสมือนเป็นการบอกนัยๆว่ามาร์คไม่ใช่คนเลวอะไรเพราะยังรักครอบครัวและสิ่งกระทำอยู่นั้นเป็นการปกป้องตัวเองและคนที่รัก
การเล่าเรื่องต่อเนื่องและลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่องโดยไม่มีคำว่าน่าเบื่อหรือดูยืดยาดเลยทั้งที่ยาวประมาณ 2 ชม. ซึ่งเวลาดังกล่าวแทบจะไม่มีฉากแอ็คชั่นเสียด้วยซ้ำ จะมีแค่การไล่ล่าระหว่างแซมมวลที่พยายามตามจับพร้อมกับตามสืบเรื่องราวทั้งหมดกับมาร์คที่หนีอย่างสุดชีวิตและหาความจริงเพื่อแก้แค้นที่ทำให้เขาถูกส่งเข้าคุกอย่างหน้าตาเฉย ในฉากตามจับมาร์คล้วนดูสนุกเพราะตัวละครต่างมีไหวพริบแก้สถานการณ์ กระนั้นการจะเทียบเรื่องไหวพริบกับแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริงๆคงเทียบกับ The Fugitive ไม่ได้เพราะคาแรกเตอร์ตัวละครค่อนข้างต่างกันมาก ในภาคแรกเป็นเพียงหมอที่ไม่มีทักษะการเอาตัวรอดอะไรนักนอกจากความฉลาดกับช่างสังเกต ส่วนภาคนี้เป็นถึงทหารที่มีทักษะพิเศษพร้อมลุยทุกสถานการณ์ในการเอาตัวรอดได้อย่างสบาย จะเห็นได้จากฉากหนีในหนองน้ำที่โชว์การหลบหนีและการต่อสู้ ฉะนั้นไม่แปลกใจเลยที่จะมีส่วนของแอ็คชั่นเข้ามาบ้างเพื่ออรรถรสความมันส์ไปอีกแบบโดยยึดโทนหนังให้ออกมาซีเรียส น่าเสียดายที่เนื้อเรื่องไม่ค่อยมีความซับซ้อนหรือเงื่อนงำเท่าไรนักและเหมือนกับว่าบทของหนังต้องการให้ออกมาเช่นนั้นทั้งที่ความจริงไม่ได้แปลกจนน่าทึ่ง ประมาณว่าตามสืบหาตัวการที่แท้จริงไปเรื่อยๆเพื่อแก้แค้นคนนั้น นั้นเองที่ทำให้การเล่าเรื่องแปลกไปจากเดิมอยู่บ้างจากที่น่าจะหาความจริงเพื่อต่อสู้คดีว่าตัวเองคือแพะรับบาปกลับกลายเป็นตามไล่ฆ่าคนที่ทำให้กลายเป็นแพะ การทำแบบนี้ทำให้พระเอกที่น่าจะเป็นคนดีกลายเป็นความก่ำกึ่งว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ แถมดีไม่ดีจะทำให้แซมมวลไม่เข้าข้างอีกด้วย
ในภาคนี้สังเกตได้อย่างคือแซมมวลยังคงความโหดในการสืบสวนเช่นเคยแต่เหมือนเรื่องไหวพริบจะลดลงไปบ้าง ซึ่งตรงกับความต้องการของเรื่องนี้ที่เขียนมาให้ดูแก่และสมควรได้รับการพักผ่อนเสียบ้าง กระนั้นตัวละครแซมมวลจะโดดเด่นไม่ได้ถ้าขาด Tommy Lee Jones แสดงได้สมกับเป็นตัวละครที่ดูน่าเกรงขามและเก่งในการไล่ล่าจับคนร้าย ถึงอย่างนั้นไม่รู้ว่าทางเนื้อเรื่องเล่าทางแซมมวลมากไปหรือเปล่า เพราะมองมาที่มาร์คเหมือนเป็นตัวละครที่เทียบเคียงแซมมวลไม่ได้เลย อีกอย่างคือเรื่องมิติตัวละครค่อนข้างเรียบง่าย ตอนที่มาร์คสืบหาความจริงก็ออกแนวเป็นสายลับมากไปหน่อย ไม่เหมือนภาคก่อนที่เป็นคนธรรมดาต้องระแวงระวังลุ้นว่าจะโดนจับได้ไหม ไม่แปลกใจเลยที่ให้ Wesley Snipes มารับบทบาทนี้เพราะได้ส่วนของแอ็คชั่น กระนั้นนแง่การประชันบทบาทกลับสู้ใครไม่ค่อยได้เพราะตัวบทไม่ได้ให้โชว์ฝีมือเท่าที่ควร และตัวเด่นของเรื่องหนีไม่พ้น Robert Downey Jr. ที่มาเด่นยิ่งกว่าพระเอกของเราเสียอีกเพราะได้ประกบคู่กับ Tommy Lee Jones แล้วเข้าทางเข้าทางกว่า การเลือกนักแสดงไม่น่าเป็นห่วงเพราะแสดงกันดีอยู่แล้ว จะติดตรงประเด็นที่ตัวบทส่งไม่ถึงจึงไม่เข้มข้นสมจริงกลายเป็นกั๊กๆยังไงไม่รู้
มาถึงส่วนของข้อดีคือการตัดต่อและการเล่าเรื่องที่ฉับไวให้อารมณ์ลุ้นระทึกตลอดเวลาทั้งที่เอาจริงๆไม่ได้พิเศษอะไรขนาดต้องสุดยอด แต่ที่เซอร์ไพรส์คือการประคองอารมณ์ของหนังให้คงที่ไม่มีความน่าเบื่อ ประกอบกับการไล่ล่าที่มีเรื่องของไหวพริบเข้ามาเกี่ยวข้องในการสืบหาเบื้องหลังว่ามาร์คทำไมถึงถูกจับ ก่อนจะไล่เรื่องราวทั้งหมดหาตัวการที่แท้จริงในไคล์แม็กซ์ แม้ว่าจะเล่าเรื่องสนุกมากแค่ไหนก็ยังมีเนื้อหาที่ไม่ถึงกับหนักแน่นในบางจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรื่องนี้มาตายเอาในตอนจบกับการคลี่คลายที่ง่ายและขาดสมเหตุสมผล ซึ่งถ้าไม่ใช่ตัวการที่แท้จริงเผยบางอย่างออกมาให้น่าสงสัยคงยากที่จะหาความจริงจนเจอได้ ดังนั้นการสรุปเรื่องในตอนท้ายจึงดูไร้พลังและขาดความหนักแน่นเพราะไม่คิดจะจบลงอย่างรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมาดูไร้ความหมาย ถือว่าน่าเสียดายที่ความสนุกจะหมดลงชนิดกระทันหันทั้งที่สร้างปมให้น่าสนใจมาตลอด แม้จะจะจบลงง่ายจนไม่น่าจดจำแต่ถ้าดูเอาตั้งแต่ต้นเรื่องไม่รวมตอนจบก็นับว่าสนุกอย่างมากในแบบสไตล์แอ็คชั่น-ทริลเลอร์ ครบทุกรสทุกอารมณ์