Evil Ed (1995) มนุษย์ผีสิง

Evil Ed (1995) | มนุษย์ผีสิง
Director: Anders Jacobsson
Genres: Comedy | Horror
Grade: C+
 
เรื่องราวบ้าๆที่ไม่น่าบ้าได้ของเอ็ดเวิร์ด (Johan Rudebeck) ที่ต้องมาทำหน้าที่ตัดต่อหนังฟิล์มจากแซม แคมป์เบล (Olof Rhodin) เจ้านายจอมเข้มที่เลือกเขาเพราะมั่นใจในฝีมือ แต่เรื่องที่ให้ตัดต่อดันกลายเป็นหนังสยองขวัญที่เขาไม่ต้องการ แต่นั้นไม่อาจทำให้เขาปฏิเสธงานได้ และมีหน้าที่ต้องตัดต่อให้เสร็จโดยได้รับสิทธิพิเศษให้ทำงานที่บ้านนอกชานเมืองเพื่อให้อยู่อย่างสงบมีสมาธิในการตัดต่อฟิล์ม แน่นอนว่าการเลือกเอ็ดเวิร์ดไม่ใช่เพราะเขาเก่งหรืออย่างใด แต่มาแทนตำแหน่งที่กำลังขาดเนื่องจากคนก่อนหน้านี้คลุ้มคลั่งจนคาบระเบิดหัวกระจุยไปแล้วในตอนเปิดเรื่อง ประเด็นคนก่อนที่เสียสติจนบ้าคืออะไรก็ไม่รู้ แต่คงไม่พ้นเกี่ยวกับหนังสยองขวัญที่ยิ่งอยู่กับมันนานเท่าไรยิ่งเริ่มมองความสยองขวัญที่เกิดขึ้นในฟิล์มเป็นเรื่องจริงจนประสาทกิน ถ้าคนก่อนยังกลายเป็นคนบ้าได้ แล้วเอ็ดเวิร์ดที่ไม่ชอบความรุนแรงจะบ้าด้วยหรือเปล่า


Loose Limbs คือหนังที่เอ็ดเวิร์ดต้องตัดต่อให้เสร็จ และเจ้าเรื่องนี้เองที่กลายเป็นความน่าสะอิดสะเอียนเพราะเต็มไปด้วยความรุนแรงเอาใจขาโหดอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนโหดแค่ไหนมาถึงจะสับแขนพร้อมกับเลือดท่วมหน้าที่เต็มไปด้วยความสะใจ อันที่จริงฉบับเดิมถือว่าใช้ได้อยู่แล้ว แต่เอ็ดเวิร์ดมีหน้าที่ตัดต่อฟิล์มให้เข้ารูปเข้าร่าง หรือตัดส่วนเกินต่อส่วนที่จำเป็นให้ออกมาสนุกมากยิ่งขึ้น สำหรับเขาเลือกที่ตัดให้เหลือแค่เฟรมของเหยื่อและจบลงที่เลือดทวมหน้าแค่นั้นจบ ไม่ต้องมาอวดนมยั่วยวนหรือฉากตัดแขนให้ขาด เอาแค่ดูสยองพอประมาณที่ใครๆก็รับชมได้ ทว่าการตัดต่อฟิล์มไม่ใช่เรื่องง่ายที่นึกจะตัดก็ตัดจะต่อก็ต่อ เพราะต้องใช้การทบทวนไตร่ตรองหลายๆรอบให้มั่นใจว่าฉากนั้นต้องออกมาสมบูรณ์จากเฟรมที่ตัดหรือต่อเข้าไปใหม่ นั้นเองที่ทำให้ต้องนั่งดูซ้ำไปซ้ำมาในฉากเดิมๆ จนกระทั่งเอ็ดเวิร์ดเกิดอาการหลอนระหว่างความเป็นจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังปะปนอย่างไม่รู้ตัว

ถ้าต้องการจะบอกเกี่ยวกับคนดูหนังสยองขวัญเพื่อความบันเทิงอาจจะใช่ เนื่องจากไม่มีอะไรให้ฝังใจนอกจากความสนุกที่ดูไปแบบเรื่อยๆตามท้องเรื่อง แต่กับคนที่ต้องมาตัดต่อหนังคือคนที่ปวดหัวยิ่งกว่าเพราะจะต้องดูหนังเรื่องนั้นจนไม่รู้จะบันเทิงยังไงเพราะวนเวียนซ้ำซากกับฉากต่างๆอยู่ตลอดเวลา อีกอย่างคือการตัดต่อหนังสยองขวัญนับเป็นงานที่ส่งผลต่อจิตใจพอสมควรเพราะมีแต่เรื่องความรุนแรงและเพศกันเสียมาก เห็นแบบนี้แล้วน่าเห็นใจคนตัดต่อหนังสยองขวัญที่ต้องดูฉากฆ่ากันตายไม่รู้ตั้งกี่รอบถึงจะได้ฉากหนึ่งที่สมบูณ์ ยิ่งกับคนที่ไม่ชอบหนังสยองขวัญหรือใจอ่อนคงไม่ต้องพูดถึงเพราะทำไม่ได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นกับว่าหนังเรื่องนั้นจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด สำหรับเอ็ดเวิร์ดจัดว่ามีความรุนแรงกันสุดๆเลยทีเดียว


ยิ่งตัดต่อหนังมากขึ้นเท่าไรยิ่งเกิดหลอนจนขนาดที่ว่าแทบแยกไม่ออกว่าไม่ใช่ของจริง ซึ่งดูเหมือนเอ็ดเวิร์ดจะยิ่งอาการหนักมากขึ้นจนเกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เป็นคนเรียบร้อยมาดผู้น้อยและไม่ชอบหนังสยองขวัญเพราะมีแต่ความรุนแรงและเรื่องที่ผิดศีลธรรม จู่ๆเจอหลอนหนักๆเข้าเกิดนึกชื่นชมความโหดจากในหนังขนาดที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ และนึกสนุกกับสิ่งที่เข้ามาขัดขวางหรือไม่ถูกใจด้วยการกำจัดออกไปให้หมดหรือก็คือการฆ่านั้นเอง ซึ่งจากเดิมที่กลัวจนหัวหดแล้วกลายเป็นความกล้าที่ฆ่าคนได้ขึ้นมาเกิดจากการชนะความกลัว เอ็ดเวิร์ดประสาทหลอนจนสร้างสิ่งน่ากลัวขึ้นมาจนไม่อาจรับรู้ได้ว่าจริงหรือปลอม อยู่ๆดีนึกอยากกินขนมปังแต่ต้องหั่นเป็นแผ่น พอมาดูอีกทีกลายเป็นหลอนเฉือนแขนคน ได้ยินเสียงจากในตู้เย็นจนเปิดไปเจอกับตัวประหลาดที่กำลังเขมือบอาหารในตู้เย็นอย่างสบายใจ การนั่งดูหนังย้อนไปย้อนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นฉากติดตาให้ตกใจ และที่หนักสุดคือการทำให้ใครสักคนกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือตัวประหลาดขึ้นมาแล้วลองสู้กับมันจนชนะได้สำเร็จ ประเด็นคือหลังชนะไม่ใช่ว่าหายจากอาการหลอน แต่เป็นยิ่งกว่าเดิมเพราะสนุกกับการฆ่าไปแล้ว

อย่าว่าแต่คนตัดต่อหนังเลยที่ต้องทนดูกับความจำเจซ้ำซากจนอาจเอามาเก็บกดอย่างไม่ตั้งใจ คนดูก็เช่นกันที่บางทีเลือกดูหนังจากเพื่อความบันเทิงกลายเป็นเสพอรรถรสความสะใจจนเกินจริง ซึ่งนี่เป็นประเด็นแฝงออกมาโดยใช้ความรุนแรงในหนังสยองขวัญเป็นเหตุให้คนเราเกิดเสียสติ จริงๆแล้วจะเล่าเรื่องให้รุนแรงหรือกระทบจิตใจแค่ไหน แต่ถ้าใช้สติและวิจารณาญในการรับชมก็สามารถแยกแยะระหว่างความจริงกับจินตนาการที่เกิดขึ้นจากในหนัง ซึ่งจะเป็นยังไงขึ้นกับปัจจัยด้วยว่าการดูหนังมีความเหมาะสมมากหรือน้อยเพียงใด ตัวอย่างเอ็ดเวิร์ดเป็นคนอ่อนไหวไม่ชอบความรุนแรงแต่ต้องทำเพราะเป็นงานบังคับ เมื่อจิตใจไม่เข้มแข็งพอก็กลายเป็นสติแตกในที่สุด ผิดกับนิค (Per Löfberg) เด็กส่งของที่รับหน้าที่ส่งฟิล์มให้เอ็ดเวิร์ดที่ถูกใจความสนุกของ Loose Limbs แต่เป็นความสนุกในแง่บันเทิง ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับหนัง ถึงนิคจะชอบความรุนแรงของหนัง แต่ชีวิตจริงกลัวความรุนแรงจนไม่กล้าสู้คน เหมือนเป็นเสียดสีคนที่ดูภายนอกเป็นแบบไหนก็ใช่จะเป็นเช่นนั้นเสมอ


Evil Ed นับว่ามีความคัลท์พอสมควรที่ตั้งใจทำมาเพื่อแฟนหนังสยองขวัญให้จับผิดในบางฉาก เช่น โปสเตอร์หนังที่แปะไว้ในแต่ละฉากจะมีทั้ง Evil Dead II (1987),Critters (1986) ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ใช่โปสเตอร์ที่แปะตามผนังแต่มีการเอาความเด่นในบางฉากไปแซวอีกด้วย นอกจากนี้ถ้าสังเกตชื่อหนังจะคลับคล้ายคลับคลา The Evil Dead (1981) จนมีในบางฉากแอบยืมเทคนิคลูกเล่นมาใช้ด้วย ที่เด็ดสุดคือชื่อตัวละครแซม แคมป์เบลหรือ Sam Campbell ที่มาจากการผสมชื่อและนามสกุลของผู้กำกับ Sam Raimi และนักแสดง Bruce Campbell ที่โด่งดังจาก Evil Dead ทั้ง 3 ภาค และ Halloween (1978),The Silence of the Lambs (1991) และ The Shining (1980) ที่ล้วนถูกหยิบทั้งฉากและพล็อตมาใช้ร่วมด้วย นับเป็นความตั้งใจของ Anders Jacobsson ที่ทำหน้าที่กำกับและเขียนบทเพื่อแสดงถึงหนังซ้อนหนังก็ว่าได้ หรือเพราะความมันส์ก็มิทราบ

แต่ยิ่งหนังเล่าเรื่องยิ่งหลุดกรอบพอสมควร ช่วงแรกแสดงถึงความน่ากลัวมีกลิ่นสยองขวัญชัดเจน ไม่เน้นฉากโหดเท่าไรเพราะต้องการให้ออกมาหลอนตกใจ จนมาช่วงที่เอ็ดเวิร์ดกลายเป็นบ้านี่แหละที่เริ่มมีฉากโหดๆเข้ามาบ้างนิดหน่อย ส่วนที่ว่าหลุดกรอบคือบางช่วงมีความตลกปะปนอยู่ด้วย อย่างนิคที่เป็นตัวละครรองของเรื่องจะไม่ค่อยถูกกับเอ็ดเวิร์ดตอนมาส่งฟิล์ม แล้วไม่รู้ยังไงดนตรีประกอบให้อารมณ์กลายเป็นแนว Comedy ไปได้ อีกทั้งเหมือนเป็นหนังภาคต่อในตัวที่เริ่มจากเหตุการณ์ในบ้านที่เหมือนจบลงแค่นั้น ทว่าไม่จบไปต่อกันที่โรงพยาบาลกลายเป็นหนังตลกร้ายไปซะดื้อๆ ประมาณว่าไปโรงพยาบาลที่เข้าโซนคนบ้าก็บ้าให้สุดกันไปทั้งเรื่องเลย แต่อะไรไม่รู้เรียกหน่วยทหารติดอาวุธมาจับเอ็ดเวิร์ดที่หนีไปไหนสักที่ในโรงพยาบาลเป็นอะไรที่คัลท์อย่างมากเพราะนำพาไปสู่ฉากดวลปืนที่"เฮ้ยนี่มันอะไรกัน" ดูจบแล้วบ้าได้สุดกู่จริงๆ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)