Executive Decision (1996)
ยุทธการดับฟ้า
Director: Stuart Baird
Genres: Action | Adventure | Thriller
Grade: B+
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
จั่วหัวไว้ก่อนเลยว่าสปอยด์แน่ๆ โดยเฉพาะพระเอก Steven Seagal ที่ยุคนั้นเป็นดาราสายแอ็คชั่นที่มีชื่อเสียงพอตัว มีผลงานแจ้งเกิดอย่าง Above the Law (1988) ที่เริ่มต้นก็ไปได้สวย หลังจากนั้นมาดังไม่แพ้กันในเรื่อง Under Siege (1992) ที่เสมือนแจ้งเกิดอีกรอบ แน่นอนว่าสิ่งที่คงเป็นเอกลักษณ์ของชายคนนี้คือไม่หล่อเหลาแต่มีเสน่ห์ กระนั้นสิ่งที่ทุกคนรู้แท้แน่นอนมากกว่าการจับปืนถือมีดคือทักษะต่อสู้ด้วยมือทั้งสองข้าง แทบจะทุกเรื่องจะโชว์ลีลาฝีมือการต่อสู้มือเปล่าที่เน้นการหักกระดูกจนไม่มีหน้าไหนสู้ได้และเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนนึกไม่ออกว่าเคยแพ้ จนกระทั่งเรื่องนี้
ความไม่เคยแพ้ของ Steven Seagal ที่มักพบในหนังที่เขาแสดงเป็นอะไรที่บอกได้ยากถ้าจะมีคนชนะ คล้ายกับ Chuck Norris ที่ต่อให้สถานการณ์จะเลวร้ายมากแค่ไหนก็สามารถพลิกวิกฤติชนะ(แบบหน้าด้านๆ)ได้อย่างสบาย ถึงจะอย่างนั้นต่อให้เป็นนักแสดงทรงคุ้นค่ามากแค่ไหนก็มิอาจห้ามบทที่เขียนขึ้นมา ซึ่งในเรื่องเป็นตัวละครที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายขนาดที่ได้รางวัลราซซี่ อวอร์ด ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดแย่กันเลยทีเดียว
เชื่อว่ายุคนั้นต้องมีหลายคนโดนหลอกเรื่องใครคือพระเอกตัวจริงทำให้บรรดาแฟนๆของ Steven Seagal ไม่ถูกใจกันเท่าไรเพราะใครจะไปนึกว่าบทจะใจร้ายพาแกตายได้ในที่สุด กระนั้นประเด็นการตายเดิมไม่ใช่อย่างที่เห็นในหนังในตอนแรก เนื่องจากมีความโหดร้ายเกินไปขนาดที่หัวระเบิดเพราะความดันจากการพยายามขึ้นเครื่องบินจากอีกลำไปสู่อีกลำ ซึ่งแกไม่ยอมเพราะกลัวทำแฟนๆเสียขวัญจึงออกมาปลิวตามสายลมอย่างที่เห็น ถือเป็นช่วงที่ทำเอาคนดูที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ออกอาการเหวอกันเต็มๆ ส่วนเรื่องรางวัลราซซี่ อวอร์ด ไม่ได้แสดงแย่แต่บทเหมือนจงใจตัดออกไปเฉยๆทำให้กลายเป็นตัวตลกว่าที่สุดแล้วก็ตายเป็น(แม้จะตายเองก็ตาม)
กลับมาเข้าเรื่องเมื่อเครื่องบินโดยสารโดนผู้ก่อการร้ายนามว่า นาจี ฮัสชัน (David Suchet) ยึดเครื่องเพื่อใช้เป็นตัวประกันต่อรองแลกกับผู้นำของเขาที่ถูกจับตัว ถ้าไม่ทำตามข้อตกลงจะปล่อยแก๊สพิษ DZ-5 ฆ่าคนทั้งเมือง งานนี้ทำให้ทางการต้องเสี่ยงกับแผนปฏิบัติการกู้เครื่องกลางอากาศที่นำทีมโดยผู้กองออสติน เทรวิส (Steven Seagal) และ ดร.เดวิด แกรนท์ (Kurt Russell) พร้อมกับลูกทีมฝีมือดีนั่งเครื่องบิน F117 ลักลอบขึ้นเครื่องบินไม่ให้ผู้ร้ายทันระวังตัว
อย่างที่บอกข้างต้นเกี่ยวกับ Steven Seagal ที่นอกจากจะเด่นตอนเปิดเรื่องแล้วก็ไม่มีอะไรอีกหลังจาก 30 นาทีแรกผ่านพ้นไป รวมที่เล่นทั้งหมดประมาณ 10 นาทีก่อนที่จะปลิวไปตามสายลมหายไปแบบไม่มีใครสนใจจนหนังจบ อันนี้ไม่รู้บทเป็นยังไงแต่รู้สึกว่าไม่มีก็ได้เพราะไม่ได้สำคัญหรือบทบาทมากขนาดต้องใช้ดารานำระดับนี้ ทำให้รู้สึกขัดแย้งตรงนี้อยู่ไม่น้อยที่เหมือนโดนตัดจบเช่นนั้น ยิ่งมาอยู่ในยุคที่ยังดังยิ่งเหมือนหลอกแฟนๆ แน่นอนว่าในบางประเทศมีการเพิ่มหน้าลงในโปสเตอร์อีกด้วย ในทางกลับกันสไตล์หนังไม่ใช่แอ็คชั่นเน้นยิงหรือมาหักกระดูกโชว์ฝีไม้ลายมือ ฉะนั้นถ้าไม่ตายก็อาจจะเป็นแอ็คชั่นเต็มตัวไม่มานั่งเครียดวางแผนกันเหงื่อแตกขนาดนี้
ตัวหนังค่อนข้างซีเรียสพอสมควรแม้จะโม้หรือไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้างนิดหน่อยแต่นั้นก็ไม่ใช่ตอนอยู่ในเครื่องบินเพราะหลังจากนั้นจะเข้มข้นมีความเป็นทริลเลอร์สูงมากๆ จะมีปัญหาให้แก้สถานการณ์ให้ลุ้นระทึกตลอด มีวางแผนให้รอบคอบเป็นหลักสำคัญในการช่วยตัวประกันว่าควรเริ่มยังไงและทำอะไรต่อไปโดยที่คนร้ายไม่รู้ตัว มีการแบ่งหน้าที่ตามความเหมาะสมตามงานที่รับมอบหมาย ซึ่งอันนี้ชอบมากในการแบ่งบทบาทเพราะทำให้เห็นว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด
กว่าจะดูครบจบ 2 ชม.ทำเอาเหนื่อยอยู่ไม่น้อยเพราะแทบทั้งเรื่องซ่อนตัวในเครื่องบินแล้วเป็นการแอบที่กดดันจากคนร้ายที่ระแวงระวังเป็นอย่างดี อีกทั้งยังแข่งกับเวลาที่บีบคั้นมาเรื่อยๆให้เร่งปฏิบัติอย่างเร็วที่สุดโดยที่ทำยังไงก็ได้ไม่ให้ถูกจับได้ก่อน ทำเอาวิตกไปหลายทีเหมือนกันเพราะแต่ละอย่างพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว อย่างเรื่องของระเบิดที่บรรจุแก๊สพิษที่สามารถฆ่าคนได้ทั้งเมือง ประเด็นอยู่ที่ว่าติดตั้งระบบคำสั่งเอาไว้และไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนควบคุมระเบิด ถ้าพลาดนิดเดียวอาจระเบิดทั้งลำได้ทันที การหาคนร้ายคนนั้นจึงเป็นเรื่องยากและเป็นหน้าที่ของแอร์โฮสเตสสาวนามว่า จีน (Halle Berry) ที่ต้องช่วยพวก ดร.เดวิล ตามหามือระเบิดก่อนจะห้ามไม่ทัน
นอกจากวางแผนจัดการคนร้ายแล้วยังต้องหามือระเบิดให้เจอ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่ลุ้นหนักเท่ากู้ระเบิดเพื่อรับประกันว่ามือระเบิดสั่งทำงานก็ยังรักษาชีวิตผู้โดยสารในเครื่องบินได้ โดยหน้าที่กู้ระเบิดเป็นของ จ่าแคปปี้ (Joe Morton) หนึ่งในสมาชิกของทีมที่ประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้นอกจากนอนดูระเบิดและพูดเพียงอย่างเดียว ดังนั้นหน้าที่กู้ระเบิดจึงต้องส่งไม้ต่อแก่ เดนนิส คาลฮิล (Oliver Platt) วิศวกรผู้ออกแบบเครื่องบินให้สามารถเคลื่อนย้ายกลางอากาศได้ แน่นอนว่าไม่มีความรู้เรื่องระเบิดและต้องมาลุ้นตัวโก่งเพราะคนที่ทำเป็นก็นอนบาดเจ็บ จะถูกจะผิดทำเครียดตลอดเวลาเพราะเจ้าระเบิดมีลูกเล่นที่ไม่ใช่ตัดสายไฟก็จบ
เป็นทริลเลอร์ที่เข้มข้นในการเล่าเรื่องพอสมควร มีสถานการณ์บีบบังคับตลอด ยิ่งตัวร้ายชอบระแวงไม่ไว้ใจอะไรง่ายๆแม้จะอยู่กลางอากาศยิ่งลุ้นระทึกเข้าไปใหญ่ ถือเป็นการเล่นกับสถานที่ปิดตายกลางอากาศได้อย่างสนุกมือ อีกทั้งดารานักแสดงช่วยส่งอารมณ์ให้หนังเข้มข้นเข้าไปอีก โดยเฉพาะ Kurt Russell แสดงนำได้เอาเรื่องเอาราวพอสมควรที่ต้องมานั่งวางแผนแก้สถานการณ์ทั้งที่ควรทำงานนั่งโต๊ะ แต่อย่างว่าสายข้อมูลต้องทำอะไรที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ดังนั้นจึงพยายามคิดให้รอบคอบหาหนทางแก้เกมต่างๆที่คนร้ายดักเอาไว้ แต่รายที่ออกอาการเครียดที่สุดเห็นจะเป็น Oliver Platt เพราะในบทต้องแก้ระเบิดเองทั้งที่ทำไม่เป็นนอกจากฟังตามคำบอกอีกที อีกคนที่ว่าเฉยๆแต่ชอบขึ้นมาคือ John Leguizamo ในบทแรท ที่ต้องมารับหน้าที่เป็นผู้นำทีมแทน และ Halle Berry ที่น่าจะแสดงดีแต่รู้สึกเฉยๆอยู่บ้างเหมือนบางจังหวะอารมณ์ส่งไปไม่ถึง แต่รวมๆเล่นดีกันหมดยกเว้น Steven Seagal ที่ไม่ต้องโชว์การแสดงอะไรมากมาย(ไม่รู้จะเรียกว่าแสดงหรือคือตัวแกจริงๆ)
Executive Decision เป็นทริลเลอร์กอบกู้ช่วยตัวประกันในเครื่องบินที่สนุกและเข้มข้นจนเรียกว่าห้ามพลาดเด็ดขาด เนื่องจากสไตล์กลางอากาศค่อนข้างหายากและมีลูกเล่นหลายอย่างน่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบ จะมีข้อเสียในส่วนของฝ่ายตัวร้ายที่เล่าเรื่องกระชับมากไปหน่อยเพราะมานึกๆเหมือนจี้เครื่องบินแค่นั้น ส่วนวัตถุประสงค์จริงๆก็ดูจะเลื่อนลอยไม่สมเหตุสมผลหรือรอบคอบเท่าไร แต่ตัวบทแก้น้ำตื้นไปนิดว่าแท้จริงแล้วทั้งจี้เครื่องบินกับติดระเบิดนั้นเพื่ออะไร แม้ฝ่ายตัวร้ายอาจจะปูเรื่องไม่ดีแต่ความลุ้นในการกู้สถานการณ์คือทีเด็ดของจริงที่เอาอยู่ได้ทั้งเรื่อง