Panic Room (2002)
ห้องเช่านิรภัยท้านรก
Director: David Fincher
Genres: Crime | Drama | Thriller
Grade: B+
การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างรวดเร็วพอสมควรกับเรื่องนี้ที่เกริ่นตัวละครเพียงไม่กี่นาทีกับอพาร์ตเมนต์ที่พึ่งมาอยู่ใหม่ก็ต้องมีกลุ่มโจรเข้ามาในคืนวันแรกที่อาศัย จะบอกว่าเป็นความซวยของเม็ก อัลต์แมน (Jodie Foster) กับซาร่าห์ อัลต์แมน (Kristen Stewart) สองแม่ลูกคงไม่ผิด เนื่องจากพวกเธออยู่ผิดที่ผิดเวลาผิดแผนของโจรที่ตั้งใจมาแบบเงียบๆไร้คนอาศัยที่อุตส่าห์คิดล่วงหน้าตามแผนของจูเนียร์ (Jared Leto) ที่ต้องการมาขโมยเงินที่ซ่อนอยู่ในบ้านหลังนี้พร้อมกับผู้ช่วยอีกสองโจรคือราอูล (Dwight Yoakam) และเบิร์นแฮม (Forest Whitaker) แต่ที่พิเศษกว่าบ้านทุกหลังคือมีห้องนิรภัยที่ออกแบบมาอย่างดีเยี่ยมพร้อมการป้องกันเสริมด้วยเหล็กหนาที่ไม่สามารถทะลวงเข้าไปได้ง่ายๆ ทว่าเรื่องของเรื่องคือเม็กไม่ชอบห้องนิรภัยที่สำหรับเธอคือความน่ากลัวและเหมือนว่าห้องที่คิดว่าไม่จำเป็นห้องนี้ต้องถึงคราวจำเป็นซะแล้ว
พล็อตเรื่องกระชับเข้าใจง่ายมากถึงมากที่สุดจนแทบไม่มีอะไรเท่าไรเพราะทั้งเรื่องคือโจรเข้าบ้านและเจ้าของบ้านหลบซ่อนตัวในห้องนิรภัยเท่านั้น สิ่งที่พิสูจน์ว่าเรื่องนี้มีดีกว่าเนื้อเรื่องคือทักษะการเล่าและการให้อารมณ์ที่ทำให้ความธรรมดาของเรื่องนี้เกินกว่าพล็อตหนังราคาถูกกลายเป็นหนังที่อุดมด้วยความซีเรียสราคาแพง ยิ่งไม่ต้องไปแปลกใจถ้ารู้สึกเรื่องนี้มีบรรยากาศหม่นหมองเพราะเป็นฝีมือผู้กำกับ David Fincher ที่มักชอบเล่าเรื่องหนักซีเรียสและความมืดของจิตใจ ในช่วงแรกจะเป็นการเล่าถึงเม็กกับลูกสาวของเธอที่เข้ามาดูอพาร์ตเมนต์ว่ามีสภาพหน้าตาเป็นยังไงก่อนตัดสินใจมาอยู่ สิ่งที่ค่อนข้างแปลกคือขนาดของอพาร์ตเมนต์ดังกล่าวมีความกว้างและสูงหลายชั้นผิดกับจำนวนที่จะมาอยู่แค่แม่ลูกสองคน ด้วยข้อสังเกตนี้เองที่ทำให้แท้จริงแล้วเม็กมีปมในใจเรื่องครอบครัวที่พึ่งแยกทางกับสตีเฟน (Patrick Bauchau) สามีของเธอ สิ่งที่เม็กทำคือการอดดว่าตัวเองมีเงินใช้พอในการเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร ส่วนซาร่าห์ไม่ได้ติดใจเรื่องพ่อมากเท่าไรที่ไปอยู่กับหญิงอื่น แต่ลึกๆยังมีความเชื่อใจพ่อของตัวเองอยู่ไม่น้อย
จุดเด่นของเรื่องนี้คือห้องนิรภัยที่ติดตั้งเอาไว้เสร็จสรรพพร้อมอุปกรณ์กล้องวงจรปิดที่สามารถสอดส่องบ้านได้ทั้งหลัง อีกทั้งทั้งห้องยังทำด้วยเหล็กกล้าหนาหลายชั้นไม่มีทางเจาะหรือทลายเข้าไปได้ ทำให้กลายเป็นคุณสมบัติของบ้านหลังนี้ที่พร้อมเรื่องความปลอดภัยที่เอาอยู่เมื่ออยู่ในห้องนิรภัยห้องนี้ ทว่ากับนอกห้องให้ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรักษาชีวิตด้วยตัวเอง เรื่องเริ่มในคืนที่สงบจนคิดว่าไม่มีใครจึงได้ย่องเบาเข้าบ้านอย่างเงียบๆโดยหารู้ไม่ว่ามีคนอยู่บ้านที่กำลังนอนเหนื่อยจากการย้ายข้าวของมาอยู่บ้านใหม่ ซึ่งเรื่องนี้อยู่เหนือความหมายของเบิร์นแฮมที่เลือกขโมยในเวลาไม่มีใครอยู่บ้านเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการปะทะกันระหว่างเขากับเจ้าของบ้าน เรื่องนี้มีคนอยู่บ้านก่อนแล้วไม่มีใครรู้นอกจากจูเนียร์ที่รู้ว่ามีคนมาอยู่ต่อแต่ไม่คิดจะมาเร็วขนาดนี้ ทำให้แผนที่ลงมืออย่างสบายใจต้องรู้สึกขัดๆเพราะเบิร์นแฮมไม่เห็นด้วย แต่จนแล้วเบิร์นแฮมต้องยอมทำตามเพราะสิ่งที่จูเนียร์มาเอาจากบ้านหลังนี้มีมูลค่าสูงที่พอจะแบ่งให้ทั้งสามรวยได้อย่างสบาย
แน่นอนว่าแผนของโจรทั้งสามกำลังดำเนินไปได้เรื่อยๆต้องมาสะดุดไม่ทันตั้งตัวเพราะเม็กรู้ตัวว่ามีโจรเข้ามาในบ้านและรีบพาซาร่าห์เข้าห้องนิรภัยอย่างรวดเร็ว ซึ่งโจรทั้งสามก็รู้ว่าสองแม่ลูกวิ่งเข้าห้องนิรภัยปิดประตูไปแล้ว เรื่องเหมือนจะง่ายเพราะโจรก็ปล้นในสิ่งที่ต้องการไป ส่วนเจ้าของบ้านก็หลบไปในห้องรักษาชีวิตตัวเอง ทว่าสิ่งที่โจรทั้งสามต้องการไม่ได้อยู่ที่ไหนสักที่ในบ้านนอกจากในห้องนิรภัย นั้นทำให้งานนี้กลายเป็นความเครียดของโจรทั้งสามที่จะทำยังไงให้สองแม่ลูกยอมออกมาจากห้องเหล็กกล้าที่ไม่มีทางพังเข้าไปข้างในได้ ต้องยอมรับว่าการเล่าเรื่องทำได้ตื่นเต้นระทึกมากทั้งที่เป็นเรื่องของโจรปล้นบ้านธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง ด้วยการเล่าเรื่องที่แสนตื่นเต้นประกอบกับบรรยากาศที่กดดันตลอดเวลาทำให้ความน่าติดตามค่อนข้างสูงตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งแปลกดีทั้งที่วนเวียนกันอยู่ในบ้านแต่ไม่มีความน่าเบื่อเลยสักนิด อีกอย่างที่ช่วยยกระดับความสนุกไม่มีอะไรที่ดูขัดใจคือความฉลาดของโจรที่พยายามหาวิธีเปิดประตูห้องนิรภัยให้ได้
จะว่าแล้วโจรทั้งสามคือตัวละครที่เขียนบทมาให้พอดีคำไม่มีขาดหรือเกินเลยแม้แต่คนเดียว ฉะนั้นโจรที่เป็นตัวร้ายจึงไม่มีความน่าเบื่อเพราะความเอาอยู่ของตัวละครที่ไม่วอกแวกหรือแสดงท่าทีที่ดูรำคาญแต่อย่างใด อันที่จริงการคุมอารมณ์ก็เช่นกันที่ร้ายแค่ไหนยังคุมสติตัวเองว่าจะเอายังไงต่อไปดีให้รอบคอบ ซึ่งตัวหลักคือเบิร์นแฮมที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มและมีแนวทางของตัวเองที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นให้เดือดร้อนไปมากกว่านี้ อารมณ์ประมาณจอมโจรคุณธรรมที่ขอปล้นแต่ไม่อยากทำให้ใครเจ็บตัว ดังนั้นจึงเป็นตัวละครที่เหมือนติดอยู่สถานะระหว่างกลางคือดีไม่สุดเลวไม่ใช่ ส่วนอีกที่เหลือสมความโจรที่ไม่ต้องเทียบว่าเหมือนหรือแตกต่างเพราะเห็นชัดถึงการกระทำที่เอารุนแรงเข้าว่า จะผิดกับเบิร์นแฮมที่เน้นการประนีประนอมเสียมากกว่า อีกมุมหนึ่งจัดเป็นตัวละครที่ตัวเองค่อนข้างชอบเพราะมีความอึดอัดในตัว ดูมีมิติมากกว่าตัวละครอื่นๆที่ตายตัวชัดเจน
จูเนียร์คือคนวางแผนและเตรียมแผนการมาเพื่อขโมยของในห้องนิรภัย ฟังเหมือนเป็นตัวร้ายที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่ความจริงคือเป็นตัวละครที่ยอมรับความจริงได้เช่นกันเมื่อรู้ว่าหมดหนทางเข้าห้องนิรภัย จุดนี้กลายเป็นความแปลกที่เหมือนจะตัดจบเอาดื้อๆ ทั้งนี้ไม่ประหลาดใจเพราะการเข้าห้องนิรภัยมันยากเกินไป ในเมื่อเข้าไม่ได้ต้องใช้แผนที่หลอกล่อให้เปิดประตูยิ่งยากเข้าไปใหญ่ พอเป็นเช่นนั้นสิ่งที่ได้เห็นคือความพยายามของฝ่ายโจรที่เหนื่อยกันแทบตายแต่สุดท้ายจะได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้เพราะไม่เป็นตามแผนแต่แรก อีกคนที่คือราอูลที่กลายเป็นตัวละครลึกลับและเหมือนมาให้ตลกตั้งแต่แรกเห็น สาเหตุที่ดูตลกมาจากการแต่งตัวที่ไม่เหมือนคนอื่นที่มาแค่ขโมยของอย่างเงียบๆไม่ต้องปิดหน้าปิดตา แต่นี่ดันพกปืนใส่เสื้อกันกระสุนและสวมโม่งปิดบังหน้าตาเหมือนจะไปปล้นยังไงอย่างงั้น อีกประเด็นคือความนิ่งที่ไม่รู้มาดีหรือร้ายกันแน่ แต่ยิ่งดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆจะเห็นถึงความโหดของราอูลที่ชักจะไม่สนว่าจะมีคนตายหรือไม่ และนั้นนำไปสู่บทสรุปของหนังเรื่องนี้ที่โดยส่วนตัวเกือบจะชอบแต่แอบธรรมดาไปนิด
สิ่งที่ชอบที่สุดของ Panic Room คือการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิงกับอารมณ์ที่ใส่ได้ถูกจังหวะอย่างมาก ที่สำคัญคือการให้ความสำคัญกับทุกตัวละครอย่างกลุ่มโจรทั้งสามที่ให้บทบาทเป็นตัวร้าย แต่ความร้ายกาจของโจรกลุ่มนี้กับมีความหวังและความผิดหวังปะปนกันไปจนมีความรู้สึกเอียนเอียงให้กับความพยายามของโจรซะอย่างงั้น พอพูดถึงกลุ่มโจรมากก็เกือบลืมผู้เป็นเหยื่อของโจรที่เอาจริงๆไม่ค่อยได้เล่นอะไรมากนอกจากอยู่ในห้องนิรภัยแทบทั้งเรื่อง ยิ่งกับนักแสดง Kristen Stewart ที่เล่นเป็นซาร่าห์ยิ่งแล้วใหญ่เพราะไม่ได้โชว์ฝีมือการแสดงเท่าไรนัก เว้นกับตอนป่วยที่ต้องการอินซูลินแต่ลืมหยิบมาด้วยที่พอจะโชว์ฝีมืออยู่บ้าง ที่น่าชื่นชมหน่อยคือ Jodie Foster ที่แสดงอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ได้ดี ช่วยให้หนังระทึกขึ้นพอสมควร แต่เห็นแบบนี้ดั้งเดิมคนที่จะมารับบทคือ Nicole Kidman และด้วยสไตล์ของผู้กำกับ David Fincher เลยตัดสินใจไม่เอาอย่างที่เห็นในหนังเพราะชอบการแสดงของ Jodie Foster มากกว่า
สิ่งที่ไม่ชอบใน Panic Room เห็นจะเป็นไคล์แม็กซ์ที่มาถึงจุดอิ่มตัว ไม่มีทางแก้หรือหักมุมให้หนังซับซ้อนได้เลย หรือจะบอกคือสามารถเดาได้ง่ายมากกับตอนจบที่ลงล็อคอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงจะจบง่ายและเดาไม่ยากใช่ว่าจะไม่สนุกเพราะอารมณ์ระทึกขวัญยังได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นข้อดีที่ไม่รู้จะดูหม่นหมองไปถึงไหน เหมือนโลกทั้งโลกดูไม่น่าไว้ใจตลอดเวลา ที่น่าเสียดายจริงๆคือฉากจบสุดท้ายที่รู้สึกเลือกมาไม่ถูกอารมณ์หรือสัมพันธ์กับเรื่องราวก่อนหน้านี้เลย ทำให้เรื่องนี้จบแบบห้วนๆไม่น่าจดจำเพราะจบแล้วจบกันทั้งที่น่าจะมีส่วนเล่าเรื่องของเบิร์นแฮมให้คลายปมมากกว่านี้ซะหน่อยก็ยังดี บางทีอาจเป็นความตั้งใจที่ต้องการให้รู้ว่าการเป็นโจรสมควรรับโทษที่น่าหดหู่เพียงใดก็เป็นได้ ยอมรับว่าเป็นหนังที่ดูแล้วได้อรรถรสมากทีเดียว อีกอย่างคือการจัดองค์ประกอบสถานที่ทำได้ละเอียดทำให้ทุกอย่างดูน่าเชื่อ เรื่องนี้เหมาะกับการดูเอาอารมณ์กับบรรยากาศและการจัดวางตัวละครมากกว่าดูเอาเนื้อเรื่อง เป็นการดูแบบไม่คิดอะไรมากแต่อารมณ์ที่ได้หนักแน่น ที่เด็ดคือการชิงไหวพริบการเอาตัดรอดที่จัดเต็มเลยทีเดียว