The Gods Must Be Crazy (1980) เทวดาท่าจะบ๊องส์

The Gods Must Be Crazy (1980)
เทวดาท่าจะบ๊องส์
Director: Jamie Uys
Genres: Adventure Comedy

พล็อตเรื่องเหมือนหนังตลก แต่นี่คือความซีเรียสของหัวหน้าเผ่านามว่าซี (N!xau) คนป่าบุชเม็นแห่งทะเลทรายกาลาฮารีที่ใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ปลีกแยกออกจากโลกภายนอกที่มีแต่บ้านเมืองชุลมุนวุ่นวาย แต่แล้ววันหนึ่งได้มีขวดโค้กเปล่าตกมาจากฟากฟ้าอย่างไร้เหตุ อะไรคือขวดโค้กตกลงมาจากฟ้าในที่ไม่มีอะไรนอกจากพื้นที่ธรรมชาติอันแสนแห้งแหล้ง ในความคิดของคนป่า(ที่ป่าน้อยเหลือเกิน)คือวัตถุแปลกปลอมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนทั้งชีวิต ไม่ว่าจะรูปทรง ขนาด ความทนทานที่แข็งแรง มันคือของชิ้นใหม่ที่ถูกนำมาใช้งานจนกลายเป็นของกลางที่อำนวยความสะดวกมากมายแก่คนในเผ่า ขวดโค้กนี้จึงเสมือนเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้มา ทว่าเจ้าขวดดังกล่าวได้สร้างปัญหาวุ่นวายให้เกิดความอิจฉาริษยา อยากได้อยากใช้จนลืมวิถีดั้งเดิมที่มีแต่การแบ่งปัน มีทะเลาะเบาะแว้ง ต่างคนต่างโกรธที่ไม่ได้ใช้ขวด สุดท้ายซีคืนขวดใบนั้นแก่พระเจ้าบนฟากฟ้า แต่ไม่สำเร็จจึงตัดสินใจเดินทางไปสุดขอบโลกนำขวดอันเป็นของขวัญกลับคืนสู่พระเจ้า


นี่มันอะไรกันกับแค่ขวดเปล่าขวดเดียว แน่นอนในมุมมองคนเมืองหรือคนที่ใช้ชีวิตในสังคมสมัยใหม่ไม่ได้มองเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดเลยสักนิดเดียว หนำซ้ำยังมองเป็นแค่ขยะที่ใช้หมดประโยชน์ก็ต้องทิ้งเป็นธรรมดา แต่เผอิญว่าการทิ้งขยะจากความมักง่ายไม่ได้เกิดขึ้นตามริมถนนหรือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนพลุกพล่าน สถานที่ดังกล่าวเกิดขึ้นในที่ห่างไกลความเจริญที่ทันสมัย มีเพียงคนป่าที่อยู่ด้วยการล่าสัตว์จากอาวุธที่ประดิษฐ์จากธรรมชาติ การกินการอาศัยไม่มีอะไรนอกจากให้มีชีวิตรอดด้วยการพึ่งพา ฉะนั้นจะเห็นว่าซีและคนในเผ่าต่างอยู่กันได้อย่างสงบสุขตามแบบวิถีธรรมชาติ ไม่มีความสิ้นเปลืองทิ้งขวางเพราะทุกอย่างมีคุณค่า อย่างเรื่องของน้ำที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งและหาได้ยากจากความแห้งแล้ง แต่ด้วยภูมิปัญญาการหาน้ำทำให้พวกเขาอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อนใคร

ตอนเปิดเรื่องน่าจะเป็นจุดพีคสุดของเรื่องที่บรรยายเปรียบเทียบชีวิตคนในเมืองกับคนในป่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ชีวิตของคนป่าไม่มีความหวือหวานอกจากความเรียบง่ายที่ไม่มีอะไรเข้ามาพัวพันในชีวิต ทั้งวันอยู่เพื่อความอยู่รอดแค่นอน ล่าเหยื่อ กิน และนอน เป็นกิจวัตรประจำวัน แต่ที่อยู่ได้ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยเพราะมาจากความเป็นครอบครัวดูแลซึ่งกันและกัน ผิดกับชีวิตของคนเมืองที่เต็มไปด้วยความเจริญถนนหนทาง ตึกระฟ้าบ้านช่อง การอยู่การกินถือว่าสะดวกสบาย ทั้งบางทีความสะดวกสบายเกินไปทำให้กลายเป็นคนขี้เกียจพึ่งแต่เครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ยานพาหนะที่เดินนิดเดินหน่อยก็ไม่ได้ กระนั้นจะสบายแค่ไหนทว่าเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีแต่การแก่งแย่งตลอดเวลา ที่สำคัญยังเต็มไปด้วยความเร่งรีบที่อยู่นิ่งเฉยไม่ได้เพราะต่างคนต่างแข่งขันเพื่อให้ตัวเองดูดี สิ่งที่ไม่เหมือนกันที่ชัดเจนไม่พ้นความปรองดอง อีกสังคมต่างคนต่างอาศัย อีกสังคมอาศัยซึ่งกันและกัน


นอกจากเรื่องราวของซีกับขวดเจ้าปัญหา ยังมีอีก 2 เรื่องราวที่แยกกันไปเพื่อทำให้จบเป็นเรื่องเดียวกันในไคล์แม็กซ์ ซึ่งจะมีเรื่องของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่นำโดยแซม โบก้า (Louw Verwey) บุกลอบยิงสังหารนายกรัฐมนตรี (Ken Gampu) แต่ไม่สำเร็จจนเป็นการไล่ล่าที่ไกลออกไปถึงป่าเลยทีเดียว อีกเรื่องจะเป็นเรื่องราวเชิงความรักของแอนดริว สเทน (Marius Weyers) ผู้เสมือนเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้คอยดูแลสิ่งแวดล้อมอยู่แถวนั้น และได้รับหน้าที่ให้ไปรับเคท ทอมป์สัน (Sandra Prinsloo) ที่จะมาเป็นครูสอนหนังสือให้กับเด็กที่อยู่บ้านนอกห่างไกลความเจริญ จากทั้งหมด 3 เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันกลายเป็นความลงตัวในตอนท้ายแบบเกินคาดเดา ไม่รู้ว่าจับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกันได้ยังไงแต่บอกได้แค่ว่ามีความลงตัวที่พอดีกันมาก

The Gods Must Be Crazy เป็นหนังตลกที่เก็บความซีเรียสจากพล็อตเรื่องได้อยู่หมัด อะไรที่ดูเครียดกลายเป็นฮาราวกับพลิกวิกฤตเป็นโอกาส อย่างเรื่องขวดโค้กที่นำพามาซึ่งความทุกข์ของคนในเผ่า แต่ในสายตาผู้ชมที่รู้ดีเกี่ยวกับขวดโค้กกับรู้สึกขบขันในสิ่งที่เกิดกับขวด จากนั้นให้บทสรุปเกี่ยวกับขวดโค้กที่เป็นของขวัญจากพระเจ้าได้จบลงที่การเดินทางของซีที่จะนำไปสู่ขอบโลกเพื่อคืนของขวัญ ในมุมมองของคนมีการศึกษาอาจดูตลกเพราะไม่สมเหตุสมผลกับสิ่งที่ซีทำลงไป แต่ซีเป็นเพียงคนป่าที่ไร้การศึกษา จะมีแค่วิถีของชนเผ่าที่สืบทอดต่อกันมาเพื่อความอยู่รอด จุดนี้เหมือนเป็นการสื่อถึงชีวิตระหว่างนอกและในเมืองที่มีนัยยะแตกต่างกันออกไป นอกจากเรื่องของขวดโค้กที่ฮาอยู่บ้างก็ยังมีเรื่องของการไล่จับกุมผู้ก่อการร้ายที่จัดมุขได้สร้างสรรค์ชนิดดูกี่ทีไม่มีความน่าเบื่อเลยสักครั้ง ที่สำคัญคือจังหวะการใส่มุขทำได้เฉียบขาดอย่างมากจนบางทียังแอบเหวอกับมุขอย่างไม่ทันตั้งตัวว่าจะหลุดขำได้


ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเป็นหัวใจของเรื่องที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรับเรื่องที่เหลือมารวมกัน ซึ่งเรื่องนี้แทบจะไม่มีอะไรเสียด้วยซ้ำแต่สามารถเล่าได้ยาวทั้งที่พล็อตมีแค่นั่งรถจิ๊บไปรับคนตามที่ถูกไหว้วานเท่านั้น ความฮาเริ่มนี่แทบจะหยุดไม่ได้เลยเพราะมุขที่ใช้ไม่ได้เกิดจากความบ้าบอของตัวละครหรือความปัญญาอ่อนแต่อย่างใด แต่เกิดจากความบังเอิญ อุบัติเหตุ ความฉลาด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริงโดยไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรให้มากมาย ขอแค่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็รู้ได้ถึงความตลกทันที ส่วนการโยงเรื่องให้เข้าหากันอาจจะดูรวบรัดไปหน่อย แต่เข้าใจว่าสิ่งที่ต้องการเป็นแค่มิติด้านเดียวและเล่าต่อไปเลยในประเด็นที่ให้ ฉะนั้นเนื้อเรื่องจะไม่ได้ซับซ้อนอะไรเหมือนมุขที่เรียบง่ายแต่ถูกจิตถูกใจเสียเหลือเกิน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกนิ้วให้กับ N!xau ในบทคนป่าที่ดูไม่เหมือนการแสดงสักนิด จะเหมือนถ่ายทอดสารคดีที่ดูได้อารมณ์ของคนป่าเปลื้อยผ้าจริงๆ และแน่นอนว่าด้วยคาแรกเตอร์กับสิ่งที่มีทั้งหมดในหนังเรื่องนี้ยอมไม่มีใครจำเขาไม่ได้ ถ้าใครอยากได้หนังเบาสมองมีเสียดสีสังคมเรื่องชนชั้นต้องไม่พลาดเรื่องนี้ที่นอกจากสาระแล้วยังมีความตลกขบขันให้หัวเราะทั้งเรื่องเลยทีเดียว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)