The Gods Must Be Crazy II (1989) เทวดาท่าจะบ๊องส์ 2

The Gods Must Be Crazy II (1989)
เทวดาท่าจะบ๊องส์ 2
Director: Jamie Uys
Genres: Comedy
Grade: B+

หลังจากภาคแรกได้เข้าฉายก็กลายเป็นความสำเร็จสร้างชื่อเสียงให้กลายเป็นที่น่าจดจำในทันทีกับซี (N!xau) ตัวละครคนป่าที่ตัวดำแต่มีความใสซื่อบริสุทธิ์ตามประสาคนป่าที่ไม่รู้จักคำว่าเจริญตามแบบสังคมเมืองที่มีการพัฒนา ตัวละครอย่างซีได้กลายเป็นความโด่งดังอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศไทยบ้านเราจนขนาดที่ว่าใช้แสดงนำในโฆษณาเลยทีเดียว ซึ่งโฆษณาดังกล่าวคือกระเบื้องห้าห่วงที่ทำออกมา 2 แบบ โดยแบบแรกจะเป็นการหยิบพล็อตหนังภาคแรกที่เกี่ยวกับขวดโค้กตกลงมาจากเครื่องบินเปลี่ยนเป็นกระเบื้องตกลงมาแทน ด้วยความที่ไม่รู้ว่ากระเบื้องคืออะไรจึงลองใช้ก้านธนูยิงแต่ไม่เข้า เอามันขว้างใส่ก็ไม่เป็นอะไร พอรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่ทำอันตรายใดๆจึงขึ้นไปเหยียบเล่นก่อนจะมีแรดวิ่งเข้ามา จังหวะนี้เองที่ซีหรือที่นิยมเรียกกันว่านิเชา(คนส่วนใหญ่จำชื่อจริงมากกว่าชื่อตัวละครในหนัง)ใช้กระเบื้องบังตัวเองไว้และรอดพ้นจากแรดที่วิ่งเข้ามา ส่วนแบบที่สองเป็นการบอกถึงวิถีชีวิตที่เพิ่มความเจริญเข้ามา ทั้งจานดาวเทียม โทรทัศน์ มือถือ เครื่องซักผ้า ที่ล้วนตกลงมาจากเครื่องบิน ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อนิเชาเพราะใช้ไม่เป็น แต่มีอย่างเดียวที่ใช้เป็นคือกระเบื้องตราห้าห่วงที่เอาไว้ใช้ยืนและให้คนอื่นแบกเพื่อจะได้เอานิ้วอุดรูที่หลังคารั่วได้(เป็นทั้งมุขขำขันและเสียดสีสติปัญญาในเชิงสร้างสรรค์) ที่สำคัญพูดภาษาไทยด้วยประโยคว่า"ห้าห่วง ทนหายห่วง"เป็นการปิดท้ายโฆษณา


พล็อตเรื่องในภาคแรกนับว่ามีความแปลกพอสมควรที่ใช้เครื่องบินทิ้งขวดโค้กและถูกเข้าใจเป็นของขวัญจากพระเจ้า มาภาคต่อนี้ยังไม่พ้นที่จะนำเครื่องบินมาเกี่ยวข้องอีกครั้ง โดยจะเป็นเรื่องของดร.สตีเฟน มาร์แชล (Hans Strydom) และดร.แอนนา เทย์เลอร์ (Lena Farugia) ที่นั่งเครื่องบินชมธรรมชาติกันอยู่ดีๆต้องเจอลมพายุทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัวตกลงบนต้นไม้ จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ จะมีแค่ธรรมชาติที่แห้งแล้งตามแบบพื้นที่แอฟริกา ทั้งสองจึงต้องใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับสัตว์ป่าเพื่อให้รอดชีวิต เฉกเช่นแบบเดียวกับภาคแรกที่ทำแยกสถานการณ์เอาไว้แล้วนำมาเรื่องราวมาเล่าผสมกันก่อนจะรวมเป็นเนื้อเดียวกันในไคล์แม็กซ์ กับอีกเรื่องจะเกี่ยวกับทหาร 2 นายระหว่างมาทีโอ (Erick Bowen) และทิมิ (Treasure Tshabalala) ทั้งสองเป็นศัตรูต่อกันที่เผอิญหลงทิศหลงทางมาเจอกันเองอย่างไม่ตั้งใจจนกลายเป็นความวุ่นวายของทั้งสองที่ผลัดกันถูกจับเป็นตัวประกัน และเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของซีที่ไม่ได้อะไรกับพระเจ้าอย่างภาคแรกจนต้องเดินทางหาสุดขอบโลก แต่หนนี้มาตามหาซา (Nadies) กับริ (Eiros) ลูกชายทั้งสองที่หลงเข้าไปในรถบรรทุกและวิ่งหายไป

สังเกตว่าพล็อตเนื้อเรื่องยังคงแนวเดิมกับภาคแรกที่แบ่งเป็น 3 เหตุการ์ที่เกิดขึ้นในเวลาและสถานที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งในแต่ละเรื่องต่างมีสาระและความตลกขบขันในตัว โดยเฉพาะฉากที่ซากับริพี่น้องคนป่าที่กำลังเผชิญต่อโลกภายนอกที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยทักษะที่รับการสั่งสอนอย่างเรื่องการสังเกตรอยเท้าว่าคือสัตว์ชนิดไหน แต่ด้วยความซนที่เล่นไกลสายตาผู้ใหญ่ทำให้ซากับริเห็นรอยประหลาดที่พื้นจนตามรอยไปเจอกับสิ่งประหลาดที่พึ่งเคยพบเคยเห็นและลองปีนป่ายเจ้านั้นเพื่อดูว่ามีหน้าตาอย่างไรบ้าง แน่นอนว่ามุมมองของคนป่าย่อมไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่สำหรับผู้ชมแค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าคือรถบรรทุก ทว่าสิ่งที่รถบรรทุกได้ขนมานั้นมีกะโหลกสัตว์กับงาช้างจำนวนหนึ่ง ตรงนี้ได้สัมพันธ์กับฉากก่อนหน้านี้ที่ซีกับเพื่อนๆได้ออกล่าสัตว์และไปเจอกับช้างที่นอนตายโดยไม่มีงาเหลืออยู่ ซึ่งกลายเป็นความฉงนใจให้กับซีว่างาช้างหายไปไหน คำตอบนั้นได้อยู่ที่หลังรถบรรทุกที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่เบียดเบียนสัตว์นั้นเอง


นอกจากเรื่องของสัตว์ที่ภาคนี้ต้องการจะสื่อให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวแล้วยังแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของการล่าสัตว์ สำหรับคนป่าจะล่าสัตว์เพื่อความอยู่รอดเป็นอันดับหนึ่งและให้ความเคารพแก่สัตว์ตัวนั้นประหนึ่งเป็นการขอบคุณที่ช่วยต่อชีวิต ประเด็นนี้จะเห็นชัดในภาคแรกที่ซีใช้ธนูอาบยาพิษยิงใส่กวางแล้วรอจังหวะที่กวางตัวนั้นอ่อนล้าค่อยเข้าไปขอขมาโทษก่อนจะกลายเป็นเนื้อเลี้ยงคนในเผ่า ส่วนกระดูกมาประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้ต่ออีกที แม้ในภาคนี้จะไม่มีฉากเห็นการล่าของซีกับสัตว์ป่า กระนั้นสิ่งที่แยกแยะได้คือการใช้ประโยชน์ที่อีกคนนำไปเพื่อประทังชีวิตกับอีกคนนำไปต่อยอดเงินที่สุดท้ายเป็นได้แค่ของตกแต่งความสวยงาม ในที่นี้คืองาช้างที่กว่าจะได้มาต้องล้มช้างเสียก่อน ประเด็นคือหลังจากได้งาช้างไปแล้วจะทำอะไรกับตัวของช้างที่นอนตาย สุดท้ายไม่ได้ทำอะไรเพราะต้องการแค่งาช้างไม่ใช่ตัวช้าง การสูญเสียช้างไปแม้จะแค่ตัวเดียวก็มีผลในหลายๆด้าน หนึ่งในนั้นคือคุณค่าของชีวิต

การเล่าเรื่องจะเป็นนัยๆผิดกับภาคแรกที่บอกอย่างชัดเจนไม่ปิดบังด้วยการบรรยายในต้นเรื่อง ฉะนั้นจึงรู้สึกบางประเด็นยังดึงได้ไม่สุดเท่าไรนัก จะหนักไปที่การพยายามเล่าเรื่องให้ออกมาราบรื่นกับมุขที่ดูใส่มามากกว่าก่อนและค่อนข้างหลากหลาย ดังนั้นภาคนี้จะมีโทนเรื่องที่เบากว่าเล็กน้อยในแง่การเสียดสี จะมาจริงจังตอนซีตามหาลูกโดนอาศัยรอยล้อรถบรรทุกที่วิ่งไปตามทาง เป็นความรู้สึกที่ตลกร้ายและซีเรียสในความเป็นพ่อที่ลูกของตัวเองหาย ซึ่งทั้งเรื่องวิ่งตามรอยล้อรถบรรทุกอยู่อย่างเดียว แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยแบบภาคแรกแต่พอมีแวะไปเจอกับตัวละครอื่นบ้างตามทางจนรู้สึกว่าในสายตาตัวละครอื่นมองซีเป็นคนหรือเปล่า เนื่องจากจะไปไหนจะต้องเจอแต่ซีอยู่เสมอทั้งที่ไม่ได้อยู่ที่เดิม หนำซ้ำยังมาแบบนิ่งๆมาดีหรือมาร้ายไม่รู้เพราะจู่ๆเดินเข้ามาหาซะดื้อๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะซีมีนิสัยเป็นมิตรกับทุกสิ่งและทุกคน วิธีการสื่อสารว่าเชื่อใจจะเอามาแตะบริเวณหน้าอกเพื่อบอกว่าสวัสดีหรืออำลา คิดแล้วการสื่อสารด้วยภาษาพูดจะฟังยังไงคงไม่มีทางเข้าใจเพราะซีคือคนป่าที่ไม่ได้มีภาษาสากลใช้กับคนอื่นได้ แต่ถ้าเป็นภาษาที่แสดงออกทางกายต่อให้เป็นคนละเชื้อชาติหรือต่างแดนถิ่นอาศัยยังไงต้องเข้าใจเหมือนกันอยู่ดี ที่สำคัญจะดีหรือร้ายแค่แสดงออกมาจะรู้ว่าคิดยังไง ยิ่งกับคนที่ใส่ซื่ออย่างซีย่อมดูออกไม่ยาก


อีกอย่างที่ The Gods Must Be Crazy II ต้องการแสดงถึงคือความสามัคคี ไม่ว่าจะสองพี่น้องคนป่าที่ช่วยกันหาหนทางลงจากรถและต่างดูแลซึ่งกันและกันอย่างไม่เคยห่างไปไหน ในตอนท้ายเรื่องจะเห็นว่าทั้งสองมีความรักต่อกันมากแค่ไหนแม้จะพรากจากกัน สิ่งเหล่านี้เหมือนสะท้อนมาถึงเรื่องของทหารทั้งสองที่ทะเลาะไม่ยอมกันเพราะต่างคนต่างเป็นศัตรู ประเด็นคือจะทะเลาะกันไปทำไม จะเป็นศัตรูที่มีแต่เรื่องสูญเสียไปเพื่ออะไร อยู่ด้วยกันและยอมรับกันและกันไม่ดีกว่าหรือ ด้วยเหตุนี้เองแอนนาที่บังเอิญเจอทหารทั้งสองจึงแอบยึดปืนมาเพื่อให้ทั้งคู่จับมือกันและอยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา อารมณ์คล้ายเด็กทะเลาะกันและใช้วิธีสมานสัมพันธ์ด้วยการจับมือจะได้เลิกเกลียดกัน นอกจากนี้ยังสอนให้รู้จักปรับตัวเข้ากับธรรมชาติตามเช่นเดียวกับสตีเฟนที่เข้าใจดีว่าควรทำอะไรบ้างในสถานการณ์ฉุกเฉิน อันดับแรกคือตั้งสติ คิดให้รอบคอบ และใจเย็น เมื่อเทียบกับแอนนาที่จะเห็นว่าหวาดกลัวทันทีเพราะระแวงสัตว์ป่าที่อยู่รอบๆจะเข้ามาทำร้าย ซึ่งสตีเฟนบอกกลับทำนองว่าถ้าไม่ไปยุ่งกับสัตว์ สัตว์พวกนี้จะไม่มีมายุ่งกับเรา


เนื้อเรื่องอาจไม่ค่อยมีอะไรมากแต่ความสนุกความฮายังคงจัดหนักจัดเต็มไม่มีเบื่อ แต่เสียดายที่จุดขายของเรื่องหรือซีที่เป็นคนป่ากลับไม่ค่อยมีบทบาทในเรื่องเท่าไรนัก เพราะตลอดทั้งเรื่องวางไว้เอาแค่ตามหาลูก จะมีบทบาทบ้างนิดหน่อยเวลาไปเข้าเรื่องราวของคนอื่น เช่น ช่วยเหลือสตีเฟนที่ถูกพิษแมงป่องต่อยด้วยวิธีการรักษาตามฉบับชนเผ่าด้วยการฝังดินเพื่อดูดซับพิษ ไปถามหาลูกกับทหารทั้งสองที่อีกคนจับอีกคนแล้วให้วิ่งนำรถที่ซีมองเป็นเรื่องตลกเหมือนเด็กกำลังเล่นกัน แต่ที่ฮามากคือฉากซียืนขวางรถบรรทุกก่อนจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ คือถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตัวจริงคงไม่ปล่อยให้ตัวเองล่อนจ้อนโชว์ตูดกันแบบนี้หรอก ก็นับเป็นภาคต่อที่ขายความฮาโดยใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศแอฟริกาจากความแห้งแล้งได้อย่างสนุกสนานจนลืมไปว่าเป็นที่กันดาร และเป็นอีกครั้งที่ N!xau ยังเล่นเป็นคนป่าได้สมจริงพร้อมกับหน้าตาที่ยังไม่ทันเล่นมุขก็สร้างรอยยิ้มจากความใสซื่อบริสุทธิ์ แม้ว่าจะทิ้งห่างภาคแรกถึง 9 ปีจากการฉายทั้งที่ถูกดองตั้งแต่ 1985 แต่อารมณ์ความต่อเนื่องยังคงมี และถ้าดูต่อจากภาคแรกรับรองว่าสนุกมากทีเดียว โดยเฉพาะมุขตลกขำขันที่ดูสมัยไหนยังคงสร้างหัวเราะได้ทุกที่ทุกเวลา ถึงหนังจะเก่าแค่ไหนแต่ด้วยความเป็นกันเองเรื่องมุขทำให้สดใหม่เข้าถึงได้ทุกคน นั้นเองที่ทำให้ The Gods Must Be Crazy ทั้ง 2 ภาคคืออีกตำนานความฮาที่พลาดไม่ได้ทั้งปวง

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)