Dhoom 2 (2006) ดูม 2 เหิรฟ้าท้านรก

Dhoom 2 (2006)
ดูม 2 เหิรฟ้าท้านรก
Director: Sanjay Gadhvi
Genres: Action | Crime | Thriller
Grade: C+

"Dhoom Again"

ภาคแรกกล่มกล่อมเกือบได้รสชาติที่ลงตัว ภาคนี้ไม่ต่างกันที่ทุ่มทุนมากขึ้น โดยเฉพาะฉากเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังอินเดียที่อลังการงานสร้างจนหลงๆไปเทียบกับหนัง Step Up เลยทีเดียว แต่เรื่องท่าเต้นอาจไม่เทียบเท่าขนาดนั้นที่ต้องมี B-Boy อะไรพวกนั้น สำหรับภาคนี้ต้องขอพูดถึงงานเต้นก่อนเพราะมาผิดกับภาคแรกที่นอกจากจะยิ่งใหญ่แล้วยังรวมถึงองค์ประกอบฉากต่างๆที่บ่งบอกถึงทุนที่มากขึ้น ทั้งการแต่งกาย จำนวนนักเต้น แสงสีเสียง สิ่งเหล่านี้แทบจะแตกต่างกับภาคแรกโดยสิ้นเชิง แต่ถามว่าโดยส่วนตัวชอบแบบไหนระหว่างทุนน้อยที่มีแค่ตัวพระและตัวนางมีองค์ประกอบนิดๆหน่อยๆกับงานใหญ่ที่มีนักเต้นมากขึ้นพร้อมฉากที่ดูอลังการเป็นงานใหญ่ อันนี้ต้องบอกว่าภาคแรกซะมากกว่า เพราะดูเป็นกันเองและใกล้ชิดตัวละคร เนื่องจากเนียนกับการเล่าเรื่องที่ไม่ได้โดดมาเป็นฉากเต้นร้องเพลงที่เล่าไปอีกอย่าง


แม้จะชอบเพลงและการเต้นน้อยกว่าภาคแรก แต่ไม่ปฏิเสธเรื่องงานที่มีสีสันมากขึ้น บรรเทิงมากขึ้น จริงๆชอบเกือบเท่ากันด้วยซ้ำแค่ภาคนี้ออกจะซ้ำๆกันไปหน่อย โดยรวมทั้งเพลงและท่าเต้นแทบจะถอดออกมาในลักษณะคล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกันแค่ท่าเต้นกับเพลงที่ใช้ทว่าพื้นหลังยังคงคอนเซ็ปต์ไม่ต่างกันเท่าไรทำให้รู้สึกไม่สดใหม่แม้จะชวนให้สนุกนึกอยากเต้นบ้างก็ตาม นอกจากการเต้นที่สอดแทรกมามากกว่าภาคแรกอย่างเห็นได้ชัดทำให้หนังยาวขึ้นประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง จะมีอีกในเรื่องของการเล่าเรื่องที่เริ่มให้ความสำคัญกับตัวร้ายมากกว่าพระเอก ซึ่งเดิมภาคแรกตัวร้ายจะไม่ได้เห็นความหนาบางกันสักเท่าไรแต่เห็นแน่ๆคือความเท่ที่เทียบจะแย่งซีนกันได้ เช่นเดียวกันที่ภาคนี้ยังให้ตัวร้ายหล่อล้ำเท่และฉลาดจนเกินหน้าเกินตาพระเอก นับเป็นการเฉือนกันแบบไม่ทันมองบทก็เห็นหน้ายังลังเลเข้าข้างฝ่ายไหนดี

เรื่องยังคงเป็นหน้าที่ของเจ ดิซิต (Abhishek Bachchan) สารวัตรตำรวจฝีมือดีที่ได้ทำคดีจับอารยัน ซิงห์ (Hrithik Roshan) มิสเตอร์เอที่ก่อกวนขโมยของล้ำค่าจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อสร้างเป็นผลงานของตัวเองในฐานะศิลปินและหนนี้เป้าหมายคืออินเดีย การทำงานในครั้งนี้ยังได้ความร่วมมือจากอาลี อักบัร ฟาเตห์ ข่าน (Uday Chopra) ในฐานะคู่หูขาซิ่งช่วยจับผู้ร้ายเช่นเคย นี่เป็นพล็อตเรื่องคร่าวๆแบบเดียวกับภาคแรกที่เริ่มด้วยการโชว์ตัวร้ายด้วยความเท่และเก่งเสียจนลืมๆพระเอกไปเลย หลังจากนั้นจะเป็นเรื่องราวของเจกับอาลีในฐานะพระเอกและพระรองที่ต้องช่วยกับจับคนร้าย ประเด็นคือถึงจะเปลี่ยนรายละเอียดไปแค่ไหนก็ยังแสดงให้เห็นรูปแบบเดิมๆระหว่างฝ่ายพระเอกและตัวร้ายที่ทำนองเดียวกับภาคแรกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง โดยครึ่งแรกจะเป็นเรื่องราวของเจกับอาลีที่ช่วยกันจับคนร้ายและจบลงด้วยการที่ผู้ร้ายแผนเหนือเมฆกว่า ส่วนครึ่งหลังจะเล่าเรื่องของผู้ร้ายก่อนจะเข้าสู่ไคล์แม็กซ์ด้วยแผนจับคนร้ายของพระเอกที่ตั้งใจแผนซ้อนแผน


กระนั้นคอนเซ็ปต์ยังรูปแบบเดิมไม่ได้แปลว่าจะรู้ทันไปในทุกเรื่องเพราะครั้งนี้มีตัวละครเพิ่มขึ้นและมิติตัวละครที่ซับซ้อนยิ่งกว่า โดยเฉพาะตัวร้ายที่ต้องการเป็นมากกว่าเรื่องโจรกรรมด้วยการสอดแทรกเรื่องความรักระหว่างอารยันและสุเนรี (Aishwarya Rai Bachchan) แน่นอนว่าผู้ชมจะรู้ว่าสุเนรีคือใครและมาทำอะไรเพราะเป็นแผนของเจที่ต้องการเข้าถึงมิสเตอร์เอว่าแท้จริงคือใครเป็นมาอย่างไรและเป้าหมายต่อไปคือที่ไหน ในตอนแรกจะให้แค่เป็นเรื่องของแผนที่แทรกซึมเข้ามาเพื่อหาหนทางจับมิสเตอร์เอ แต่พอเล่าไปได้สักระยะจะเห็นถึงถึงความรักที่มอบให้กันมากขึ้น จากศัตรูเป็นมิตร จากมิตรเป็นคนรัก จึงเป็นความหนักใจของสุเนรีที่ต้องเลือกระหว่างเจในฐานะตำรวจหรืออารยันในฐานะโจร ซึ่งการตัดสินใจในช่วงสุดท้ายเป็นอะไรที่เด็ดขาดพอดูเพราะอารยันใช้วิธีรัสเซียนรูเล็ตในการหาคำตอบของสุเนรีว่าใจจริงรู้สึกยังไง อีกทั้งตอนจบยังรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ได้อารมณ์มากๆในความรักของทั้งสองอีกด้วย

ทว่าการเล่าเรื่องไม่รู้สึกกระชับแบบภาคแรกและจังหวะไม่ได้ลงตัวจนน่าดูน่าติดตามเท่าที่ควร ออกจะน่าเบื่อเล่าเรื่องเยอะและยาวไปหน่อย ที่น่าเสียดายที่สุดคือส่วนของแอ็คชั่นที่ไม่เร้าใจแบบภาคแรกและออกจะน้อยด้วยซ้ำ ขนาดฉากเปิดเรื่องโจรกรรมเพชรในรถไฟที่สู้กันมาถึงหลังคายังไม่น่าตื่นเต้นอะไรเลย อันที่จริงควรเป็นการเปิดเรื่องด้วยตัวร้ายที่สนุกและน่าจดจำ แต่เท่าที่เห็นถึงจะสู้กันมากแค่ไหนก็ไม่ถึงอารมณ์แต่อย่างใด ส่วนที่คิดว่าล้นมากที่สุดคือเรื่องตัวละครที่เพิ่มเข้ามาหวังเอาฮานิดหน่อยเท่านั้น อย่างเรื่องโสนาลี (Bipasha Basu) เพื่อนสมัยเรียนของเจที่มารู้จักกันเพราะทำงานเป็นตำรวจเหมือนกัน แทนที่จะนำไปให้สุดทางแต่กลับเลือกปล่อยเอาไว้ระหว่างทางทั้งที่เริ่มเห็นปมของตัวละครอยู่บ้าง ซึ่งการมีตัวละครนี้เอาไว้หยอกสวีทตี้ (Rimi Sen) แฟนของเจให้แอบหึงเท่านั้น แน่นอนว่าบทของสวีทตี้ก็น้อยด้วยเช่นกัน และน้อยมากๆเพราะเป็นคนท้องที่ทั้งเรื่องโผล่มาไม่กี่นาทีจนไม่มีความสำคัญอีกต่อไปเมื่อเทียบกับภาคแรก


Dhoom 2 กลับมาหวังใช้ประโยชน์จากภาคแรกด้วยลูกเล่นเดิมแต่เนื้อเรื่องใหม่ ทว่าจังหวะและการเล่าเรื่องบางช่วงบางตอนน่าเบื่อไม่ชวนให้สนุกตามไปด้วย อีกประเด็นที่คิดว่าทำให้หลายอย่างพังคือตัวละครอาลีที่ไม่ฮาอย่างภาคแรกที่เข้ากับสถานการณ์และอารมณ์จนทุกอย่างไหลลื่น สำหรับภาคนี้อาจเพราะไม่ได้มีบทบาทสำคัญเท่ากับภาคแรกแต่ด้วยความเป็นตัวละครยิงมุขสร้างสีสันให้ออกมาสนุกก็ควรจะมีจังหวะกับมุขตลกที่ดีกว่านี้ ฉะนั้นบางช่วงเลยเป็นตัวละครที่น่ารำคาญ เมื่อพิจารณาด้วยรวมจะเห็นถึงการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นและลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด เรื่องเต้นเรื่องทุนสร้างมีความยิ่งใหญ่ขึ้น ขณะที่การเล่าเรื่องมีความน่าติดตามน้อยลง จริงๆไคล์แม็กซ์ของเรื่องอยากให้มีอะไรที่มากกว่านั้นเพราะรู้สึกง่ายและเร็วเกินไป ไม่รู้สึกสมกับที่รอดูความเท่ของพระเอกกับตัวร้ายที่สู้กันน่าจะลุ้น มันส์ เว่อร์ กันให้สุดๆไปเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ชอบคือตัวร้ายมีความฉลาดและทันคนตลอดเวลา บางช่วงจึงรู้สึกเข้มข้นที่แผนจะเป็นยังไงต่อไปถ้ารู้หนาบางขนาดนั้น ถือว่าสนุกพอเพลินๆแต่ไม่เร้าใจแบบภาคแรกแค่นั้นเอง

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)