Dracula: Dead and Loving It (1995) แดร็กคูล่า 100% ครึ่ง

Dracula: Dead and Loving It (1995)
แดร็กคูล่า 100% ครึ่ง
Director: Mel Brooks
Genres: Comedy | Fantasy | Horror

ความฮาของหนังล้อเลียนเรื่องนี้ไม่เข้าใครออกใครเว้นกับกับคนที่ดู Dracula (1931) มาแล้วเท่านั้นที่จะฮามากกว่าคนอื่นที่ไม่เคยดู เนื่องจากเป็นการหยิบต้นฉบับมาล้อกันทั้งดุ้น ซึ่งจะว่าไปแล้วหนังล้อเลียนมักมีจุดเด่นที่หยิบความค้นเคยของผู้ชมมาเล่นตลก อย่างการหยิบจุดเด่นของหนังหลายเรื่องมารวมอยู่ในเรื่องเดียวกันโดยมีแก่นหนังสักเรื่องเป็นตัวนำ แต่เรื่องนี้จะไม่ล้อใครอื่นนอกจากตัวเอง ดังนั้นจะเหมือนดูแดร็กคูล่าเพียวๆแค่ต่างจากสยองขวัญมาเป็นฉบับเฮฮาที่ไม่จำเป็นต้องสรรหาหนังเรื่องอื่นมาเสริมความเข้าใจในมุขตลก ก็เอาเป็นว่าขอแค่รู้ว่านี่คือแดร็กคูล่าผีดูดเลือดสาวสวยยามค่ำคืนก็เพียงพอแล้ว


เปิดเรื่องที่เรนฟิลด์ (Peter MacNicol) ทนายความจากลอนดอนเดินทางไปปราสาทของแดร็กคูล่า (Leslie Nielsen) ที่ทรานซิลเวเนียเพื่อทำสัญญาเรื่องซื้อขายที่ดิน แต่ทำไปทำมากลายเป็นข้าบริวารรับใช้แดร็กคูล่าต้องคำสาปให้กินหนอนแมลงทุกครั้งที่เห็น แล้วยังให้ร่วมเดินทางช่วยเหลือไปยังลอนดอนเพื่อหาสถานที่แห่งใหม่ติดต่อซื้อขายที่ดินกับคุณหมอแจ๊ค ซีเวิร์ด (Harvey Korman) ที่เผอิญมีลูกสาวแสนสวยชื่อ มีน่า (Amy Yasbeck) เป็นคู่หมั้นโจนาธาน ฮาร์เกอร์ (Steven Weber) แต่แล้วเรื่องประหลาดได้เกิดขึ้นเมื่อลูซี่ (Lysette Anthony) เพื่อนของมีน่ามีอาการแปลกๆก่อนจะจบชีวิตลงอย่างปริศนาด้วยรอยเขี้ยวที่คอในสภาพซีดขาว ด้วยลักษณะที่แปลกประหลาดนี่เองทำให้ดร.อับราฮัม แวน เฮลซิ่ง (Mel Brooks) ต้องเข้ามาจัดการไขปริศนานี้ ซึ่งเขาเชื่อว่าต้องเป็นปีศาจตัวใดตัวหนึ่งแน่นอน

ดูผิวเผินเหมือนงานรีเมคของเก่าที่ทำให้กระชับยิ่งขึ้นจากตัวละครที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปและเนื้อเรื่องสั้นๆลงตัวตามประสาหนังเก่าที่ยังไม่มีลูกเล่นมากนัก จะเน้นไปที่มุขตลกที่พยายามเป็นกันเองกับคนดูให้มากที่สุด ซึ่งข้อดีคือดูไม่เป็นการพยายามจนเกินไปแต่อีกด้านถ้าแป้กคือแป้กไปเลย ทั้งนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเสน่ห์ของหนังอยู่ที่ Leslie Nielsen ในบทแดร็กคูล่าที่คุมหนังให้ดูมีอรรถรสไม่น่าเบื่อเลยสักครั้งกับลีลาการแสดงที่เกิดมากัดจิกบทนี้จริงๆ แต่ที่แซวกันได้เกินความคาดหมายคือการไปจิกหนังผีดูดเลือดอย่าง Dracula (1992) เกี่ยวกับทรงผมที่ทำเอาเซอร์ไพรส์กันเต็มๆ ที่สำคัญคือฉากที่เห็นกันประจำในหนังตระกูลผีดูดเลือดคือการตอกหมุดใส่ร่างของคนที่ถูกกัดที่ดูยังไงก็น่ากลัว แต่เรื่องนี้ทำให้เรื่องน่ากลัวกลายเป็นความฮาแบบเลือดสาดได้และเป็นมุขที่ฮาที่สุดในเรื่องด้วย


นอกจากนี้ยังเป็นการให้เกียรติหนังเก่า Nosferatu (1922) ที่แม้ในยุคนั้นจะถูกมองเป็นเลียนแบบแดร็กคูล่าที่อิงพล็อตเรื่องเดียวกันแต่เปลี่ยนชื่อและสถานที่จนถูกฟ้องร้องทำลายฟิลม์ก่อนที่ภายหลังคือหนังที่มีคุณค่าในโลกภาพยนตร์ที่หลงเหลืออยู่ โดยในเรื่องแวน เฮลซิ่งจะพูดถึงคำว่า"นอสเฟอราตู" (Nosferatu) เป็นภาษาโรมาเนีย ในเรื่องจะไม่พูดถึงแวมไพร์หรือผีดูดเลือดกันอย่างชัดเจน ถือเป็นหนังล้อเลียนที่ทำออกมาขำๆแต่เก็บรายละเอียดกันอย่างจริงจัง ยิ่งฉากแต่ละฉากต้องบอกเลยว่าเหมือนกลับไปดูหนังยุคขาวดำ ไม่ว่าจะการสร้างบรรยากาศ มุมกล้อง และพล็อตเนื้อเรื่อง ทั้งหมดล้วนดูมีความดั้งเดิมเกือบหมด ฉะนั้นเวลาดูจะได้กลิ่นหายแบบหนังเก่ากันอยู่บ้าง

Dracula: Dead and Loving It จัดเป็นหนังตลกล้อเลียนที่ทำออกมาสนุกแค่ระดับหนึ่งเท่านั้นเพราะบางส่วนยังมองว่าเรียบง่ายเกินไปจนรู้สึกบางฉากน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ โดยเฉพาะตอนจบที่ง่ายเกินไปจากที่น่าจะฮาแต่ดูเหมือนไม่รู้จะจบยังไงเลยจบทั้งอย่างนั้น ส่วนที่ชอบคือการที่ตัวละครไม่ติงต๊องหรือดูปัญญาอ่อนไร้สาระทำให้การยิงมุขตลกแต่ละครั้งไม่น่ารำคาญ อีกอย่างคือตัวละครในเรื่องมากำลังดีไม่มากหรือน้อยไป ที่เป็นจุดเด่นคือผู้กำกับ Mel Brooks ลงทุนลงมาเล่นหนังเองและมีฉากฮาๆกับ Leslie Nielsen ที่ทั้งสองต่างสรรหาคำมาด่ากันแบบตลบหน้าตลบหลังไม่หยุดหย่อนแม้จะเดินออกประตูหรือเดินผ่านหน้าต่าง ประมาณว่าเป็นสงครามจิตวิทยาระหว่างแวน เฮลซิ่งกับแดร็กคูล่า นับเป็นหนังตลกล้อเลียนที่ฮากำลังพอเหมาะไม่มากเกินไป(แต่กับบางคนอาจน้อยเกินไป) สำหรับใครที่เบื่อหนังผีดูดเลือดแบบจริงจังลองมาดูแนวล้อเลียนเช่นเรื่องนี้รับรองว่าสนุกเพลินๆกับมุขเป็นกันเอง

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)