Exorcist II: The Heretic (1977) หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ 2

Exorcist II: The Heretic (1977) | หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ 2 | D
Director: John Boorman
Genres: Horror

"ภาคแรกคือตำนานความสยองขึ้นหิ้ง ส่วนภาคนี้คือตำมั่วที่เละลงเหวอย่างสิ้นเชิง"

ไม่ทันได้ลงรายละเอียดก็ขอขึ้นต้นด้วยความย่ำแย่ของหนังกันก่อนเพราะเมื่อเทียบกับ  The Exorcist (1973) แล้วจะกลายเป็นหนังคนละม้วนที่เหมือนจะได้อารมณ์เดียวกันแต่เอาเข้าจริงแตกต่างกันไปไกลโข ซึ่งจะโทษอะไรไปไม่ได้นอกจากความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเนื้อเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนกันแน่ เดี๋ยวจะวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ผจญภัย และที่น่าตกใจสุดคือเมื่อมองรวมๆกันไม่ต่างกับแฟนตาซี! นึกแล้วยังแปลกใจไม่น้อยเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่หาความแน่นอนไม่ได้ราวกับต่างคนต่างเขียนแล้วนำมาสรุปในตอนจบให้กลายเป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน จริงๆถ้าดีคือดี แต่เรื่องนี้ไม่แตะคำว่าดีด้วยซ้ำเพราะออกทะเลโดนพายุพัดไปติดเกาะที่ไหนไม่รู้


เนื้อเรื่องจะทิ้งช่วงห่างจาหเหตุการณ์ภาคแรกถึง 15 ปี โดยช่วงเวลาหลังจากนั้นเรแกน (Linda Blair) ที่โตเป็นสาวแล้วจะเข้าบำบัดจิตเพื่อให้ลืมเรื่องผีสิงในตอนเด็ก พอมาถึงจุดนี้เริ่มเข้าใจประเด็นของหนังที่วางความจริงกับความเชื่อเข้าหากัน ในแง่ของวิทยาศาสตร์เรื่องผีไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีอยู่จริง เป็นเพียงความเชื่อหลอกๆเกิดอุปทานหมู่ขึ้นมา(เหมือนสถานการณ์พาไปโดยทำให้ทุกคนในเหตุการณ์เชื่อตามกันหมด) ส่วนในแง่ของความเชื่อคือวิญญาณที่มาเล่นงานคนอ่อนแอ ส่วนจะมาด้วยวัตถุประสงค์อะไรนั้นบางทีไม่สามารถบอกได้ชัดเจน เช่นเดียวกับภาคแรกที่ไม่รู้นึกยังไงถึงมาสิงเรแกนได้ แต่ที่มาที่ไปก็มีอยู่เหมือนการตามล่ารายเฉพาะ

ช่วงแรกของหนังจะมีการย้อนเรื่องราวภาคแรกในเหตุการณ์ขับไล่ผีระหว่างหลวงพ่อเมอร์ลิน (Max von Sydow) กับเรแกนที่ถูกผีสิง เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้หลวงพ่อเมอร์ลินต้องจบชีวิตลง ทั้งกลายเป็นเรื่องปริศนาเพราะไม่หลงเหลือพยานที่น่าเชื่อถือได้ นั้นจึงเป็นหน้าที่ของบาทหลวงฟิลลิป ลามองต์ (Richard Burton) ที่ต้องหาความจริงทั้งหมดให้เจอ แต่การหาความจริงทำให้พบบางอย่างที่เก็บงำมาตลอดหลายปี นั้นคือตัวตนของวิญญาณร้ายที่สิงเรแกนยังคงสถิตอยู่ใกล้ๆ นั้นทำให้เขาต้องหาความจริงของเรื่องราวทั้งหมดของหลวงพ่อเมอร์ลินและช่วยเรแกนให้พ้นจากปีศาจตนนี้ให้ได้


สำหรับภาคนี้จะแฝงสัญลักษณ์ของลมค่อนข้างมาก และมากจนบางทีไม่เข้าใจว่าลมที่พาฝูงตั๊กแตนมาทำร้ายคนในเผ่าคืออะไร หรือการทำให้เหมือนลมมีตัวตนจนใครเห็นต้องกลัวหมายถึงอะไร หรือบางทีการทำให้เรแกนเกือบตกตึกต้องเป็นเพราะลม คำตอบเหล่านี้ต้องย้อนไปทำความเข้าใจในภาคแรกแล้วถามก่อนว่าอะไรสิงเรแกน อะไรที่หลวงพ่อเมอร์ลินสู้อยู่ สำหรับคนที่ดูผ่านๆไม่ได้มองลึกอะไรจะเห็นเป็นเพียงผีหรือวิญญาณร้ายเท่านั้น แต่เนื้อแท้คือ Pazuzu ปีศาจเจ้าแห่งลม เป็นตัวแทนของลมทางตะวันตกเฉียงใต้ของพายุและภัยแล้ง ทั้งเป็นตำนานของอัสซีเรียและบาบิโลน ฉะนั้นถ้าเห็นอะไรที่เกี่ยวกับลมย่อมแสดงให้เห็นว่านี่แหละคือปีศาจตนนั้นอย่างแน่นอน

ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวเรแกนอีกต่อไปเพราะเรื่องราวหลักอยู่ที่การตามสืบเรื่องราวในอดีตของหลวงพ่อเมอร์ลินกับการต่อสู้กับปีศาจแห่งลมเพื่อปกป้องผู้คน ซึ่งถ้าว่าตามเนื้อบทอาจฟังดูแล้วสนุกน่าติดตาม ทว่าพอมาเล่าด้วยภาพไม่ได้น่าติดตามอย่างที่คิด หลายอย่างค่อนข้างน่าเบื่อและขาดความพิถีพถันในการเล่าอย่างบรรจงเหมือนแค่ให้เห็นมากกว่าจะทำให้ออกมาดูดี(จะสังเกตว่าบางฉากดูทุนต่ำและไม่สมจริงเอาซะเลย) กระนั้นถึงหลายอย่างจะออกมาน่าเบื่อและชวนอึดอัดจากฉากเดิมๆที่ย้ำหนักย้ำหนาก็พอมีช่วงเวลาที่สยองจนน่าสนใจอย่างฉากตามใครบางคนของบาทหลวงฟิลลิปที่พยายามหาเท่าไรก็หาไม่เจอ แต่พอเจอก็ต้องประหลาดใจจนนำไปสู่เหตการณ์ชวนเหวอได้(ถึงจะช่วงสั้นๆแต่ทำได้ถึงอารมณ์สยองและหักมุมดีทีเดียว)


การผนวกอะไรหลายอย่างเข้าด้วยกันทำให้ออกมาล้นเกินกว่าตัวหนังจะแบกได้หมด อย่างประเด็นที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ก็เลื่อนลอยหายไปอย่างรวดเร็ว หรือจะการสืบประวัติหลวงพ่อเมอร์ลินที่พยายามโยงให้เข้ากับชื่อของหนังที่หมายถึงคนนอกรีต (Heretic = คนนอกรีต) ประเด็นคนนอกรีตเอาเข้าจริงไม่ถึงกับเด่นอะไรมาก ซ้ำบางทีไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องยังไงให้สมเหตุสมผลด้วย จากหลายอย่างดูหายนะไปหมดและจมอยู่กับความน่าเบื่อผ่านมุมเดิมๆที่ไม่รู้จะย้ำอะไรหนักหนาเพราะต่างก็รู้กันหมดแล้ว ที่น่าเสียดายสุดคือมิติตัวละครที่พบว่าไม่ได้อะไรกลับมาเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะเรแกนที่น่าจะเป็นตัวละครสำคัญก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรไปมากกว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่รอคำตอบจากบาทหลวงฟิลลิปเพื่อช่วยกันยับยั้งปีศาจ Pazuzu ขณะเดียวกันบาทหลวงฟิลลิปกลายเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจเพราะบุกฝ่าลุยขึ้นเขาไปทุกที่เพื่อหาความจริง

การเสียสละเป็นส่วนที่ดีที่สุดของเรื่องนี้เพราะช่วยให้ตอนท้ายเรื่องดูสนุกขึ้นมากหลังจากที่เต็มอิ่มกับความน่าเบื่อกับเรื่องราวอันแสนอ่อนปวกเปียกจนชักไม่แน่ใจว่าจะยืดเรื่องราวอะไรให้เยอะแยะ ในช่วงสุดท้ายจะได้เห็นถึงความบ้าพลังของปีศาจแห่งลมที่โชว์พลังยิ่งกว่าภาคแรกจนผิดฟอร์ม จะไม่ดูหลอนน่ากลัวเป็นผีสิง แต่เป็นอภิมหาตึกถล่มอาคารแยกจนผิดระดับความน่ากลัวเป็นสิ่งที่ตื่นตาซะแทน กระนั้นจะอะไรก็แล้วแต่บทสรุปที่ช่วยกันหามาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบก็มิอาจช่วยให้กระจ่างหรือเข้าใจได้ถ่องแท้ถึงเหตุการณ์ทั้งหมด จะไม่เหมือนภาคแรกที่แฝงด้วยนัยยะของสังคมกับศาสนาจนเป็นเรื่องใกล้ตัว สำหรับภาคนี้ผิดฟอร์มไปมากตั้งแต่ต้นยันบทสรุปที่ธรรมดาและจืดชืดเสียนี่กระไร คงได้แค่บอกว่าดูเอาไว้พิสูจน์ความแตกต่างหรือไม่ก็เพราะไม่เคยดูเป็นอันพอ จะดูซ้ำต้องคิดหนักทีเดียว

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)