Southbound (2015)
Director: Radio Silence,Roxanne Benjamin,David Bruckner,Patrick Horvath
Genres: Horror
Grade: B
เป็นการรวมตัวอีกครั้งของผู้กำกับ V/H/S (2012) ที่ต่างทำหนังสั้นสยองขวัญแนว Found Footage ให้ขวัญผวาจนกลายเป็นหนังฮิตคอหนังสยองขวัญและคอหนังคัทล์จนได้สร้าง V/H/S/2 (2013) ภาคต่อที่มีดีกรีเข้มข้นยิ่งกว่าภาคแรก แน่นอนว่ากับเรื่องนี้ก็ทำนองแนวเดียวกันตรงที่เป็นเรื่องสั้นสยองขวัญ แต่จะไม่เน้นเทคนิคการถ่ายทำด้วยมุมกล้องอีกต่อไป จะโฟกัสที่ทุกเรื่องมาจากถนนตามเส้นทางของตัวเอง จะวิ่งมาจากทิศทางใดก็แล้วแต่จะสรุปที่เดียวกันคือความตาย และนี่เป็นเรื่องราว 5 เรื่องจาก 5 เส้นทางที่โยงไปสู่อีกมิติหนึ่งที่พูดไม่ได้บอกไม่ถูกว่าคืออะไร
"The Way Out" | Radio Silence
ประเดิมด้วยเรื่องปริศนาที่สุดแห่งการเปิดเรื่องแบบงงๆของชาย 2 คนระหว่างมิค (Chad Villella) กับแจ็ค (Matt Bettinelli-Olpin) ที่ต่างขับรถรีบเร่งเพื่อหนีบางสิ่งที่ไม่รู้เมื่อไรจะหนีพ้น เพราะทุกครั้งที่พยายามหนีจะวนมายังที่เดิม วนเวียนอยู่ที่เดิมซ้ำหลายครั้งจนไม่อาจหลุดพ้นเส้นทางที่ตัวเองเหยียบอยู่ได้ อีกทั้งสิ่งที่กำลังไล่ตามพวกเขาก็เหมือนจะเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ลักษณะคล้ายยมฑูตหรือวิญญาณปีศาจร้ายที่สามารถลอยได้และเข้าใกล้เรื่อยๆแม้จะพยายามหนีสุดชีวิตก็ตาม จนที่สุดความพยายามของมิคกับแจ็คมาถึงจุดแตกหักเมื่ออีกคนเริ่มยอมรับความจริงและอีกคนยังขอหนีต่อไป ซึ่งนั้นเองที่ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องพบความสยองที่ไม่อาจหลุดพ้น
ถ้าใครเคยดู Twilight Zone: The Movie (1983) จะต้องนึกถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ดูถูกเหยียดชาวยิว คนผิวสี และเชื้อชาติคนเอเชีย จนต้องติดเข้าไปสู่วังวนไม่สิ้นสุดระหว่าง 3 ยุคสมัย โดยแต่ละยุคสมัยจะเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิว คนผิวสี และคนเอเชียถูกไล่ล่าจากเหตุผลต่างๆนาๆ ซึ่งการดูถูกนั้นได้สนองให้ตัวเองเป็นคนเช่นนั้นและถูกไล่ฆ่าอย่างไม่สิ้นสุด พยายามหนีเท่าไรก็ไม่อาจหลุดพ้นจากมิติพิศวงนี้ได้ ซึ่งเป็นอารมณ์เดียวกันที่รู้สึกหนียังไงก็วนมาที่เดิม เป็นวนเวียนไม่สิ้นสุดไร้หนทางไปต่อราวกับต้องอยู่ชดใช้ตลอดเวลา สำหรับเรื่อง The Way Out ดูแล้วค่อนข้างสงสัยว่าทั้งหมดเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงหนี และพบชะตากรรมเช่นนั้นได้ แม้จะมีการเกริ่นนิดๆเกี่ยวกับตัวละครทั้งสองผ่านบทสนาก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ดี แต่กว่าจะเข้าใจก็ตอนจบของหนังเท่านั้นถึงเข้าใจ(แม้จะไม่ทั้งหมด) จัดเป็นตอนแรกที่สยองเรียกน้ำย่อยได้พอตัวทีเดียว(ถึงจะสั้นไปนิดก็ตาม)
"Siren" | Roxanne Benjamin
สาวน้อย 3 คน ได้แก่ เซดี (Fabianne Therese),เอวา (Hannah Marks) และ คิม (Nathalie Love) ที่ตั้งใจจะเดินทางไปคอนเสิร์ต แต่รถเจ้ากรรมเกิดยางแตกระหว่างทางและไร้การช่วยเหลือ กระทั่งมีคนขับผ่านเข้ามาและพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ด้วยการไปส่งที่บ้านพักเสียก่อนเพื่อรอเปลี่ยนยาง ทว่าการมาอยู่อาศัยในบ้านคนแปลกหน้ากับสำนวนคำพูดแปลกๆได้สร้างความผวาขึ้น ไม่ว่าจะท่าทางที่แปลกกว่าคนปกติ(เหมือนจะดีแต่ก็เหมือนร้าย) บทสวดมนต์ที่จงใจสวดให้กับปีศาจแทนที่จะเป็นสวดให้พระเจ้า หลายสิ่งไม่ปกติจนไม่อาจอยู่ได้อย่างสบายใจ และในคืนทานมื้อเย็นร่วมโต๊ะนั้นเองทำให้รู้ว่ามีบางอย่างที่น่ากลัวแอบซ่อนภายใต้รอยยิ้มที่อยากช่วยให้ตายมากกว่ารอดเสียอีก
ชื่อค่อนข้างตรงตัวกับเนื้อเรื่องที่ต้องการหลอกล่อให้ติดกับหรือล่อลวงให้หลงผิด ซึ่งพล็อตเรื่องไม่จัดว่าแปลกและเหมือนจะซ้ำมามากพอสมควร แต่สิ่งที่ดีคือการเล่าเรื่องอย่างรวดเร็วและกระชับในทันที รู้ว่าต้องเป็นอะไรยังไงต่อไปบ้าง อีกทั้งยังผสมผสานความเป็นมิตรกับความไม่น่าไว้ใจปะปนกันจนเกิดระแวง เจ้าความระแวงนี้เองที่ทำให้ตัวละครในเรื่องมีความฉลาดและไม่นึกชอบใจต่อการช่วยเหลือ ถ้าจะมองในแง่สองมุมคือคนที่มองโลกในแง่ดีกับแง่ร้าย แน่นอนว่าคนที่อยู่นานสุดย่อมเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากความระวังตัว ไม่หลงหรือคล้อยตามง่ายๆ ขณะที่คนโลกในแง่ดีมักจะแต่ความราบเรียบ ไม่คิดมากหรือระแวง แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความประมาทเป็นที่ตั้งอีกด้วย อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการหยิบยกให้ 1 ใน 3 เป็นมังสวิรัติ และคนนั้นรอดจากการถูกล่อลวงเพราะไม่ยอมกินเนื้อ เป็นไปได้ไหมว่าการกินเป็นบาปที่ต้องแลกมาด้วยการจบชีวิต แน่นอนว่าคนกินกับคนฆ่าไม่ใช่คนเดียวกัน แต่ถ้ากินเพราะความพอใจมากกว่ากินเพื่ออยู่อาจเป็นบาปก็ได้
"The Accident" | David Bruckner
โดยส่วนตัวชอบเรื่องนี้มากที่สุดเพราะทำเอาลุ้นและสยองจนเลือดตกยางออกกันเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นการสานต่อเรื่อง Siren ให้เชื่อมเป็นเรื่องเดียวกันพร้อมกับโยนเนื้อเรื่องมาที่ลูคัส (Mather Zickel) ที่โชคร้ายแบบสุดๆ เพราะระหว่างที่เล่นโทรศัพท์ก็ได้ชนเข้ากับคนปริศนาที่มายืนอยู่กลางถนน ซึ่งเขาไม่รู้หรือเห็นล่วงหน้าแต่อย่างใด และกำลังช็อคต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมันคืออุบัติจากความประมาทของเขาเอง จากความประมาทจนคร่าชีวิตผู้อื่นไว้กลางถนนค่ำคืนที่ไร้ซึ่งผู้คนหรือรถร่วมทางอาจเป็นโอกาสเหมาะที่จะหนีความผิด ทว่าลูคัสมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำและโทรแจ้งเพื่อช่วยชีวิตคนที่ตัวเองชนแม้จะแผ่วปลายแล้วก็ตาม
ถือเป็นเรื่องแปลกที่สุดในแง่มิติตัวละครในเรื่องการเผชิญความจริง แน่นอนว่าหนึ่งในวิธีละจากบาปคือการสารภาพบาป ซึ่งลูคัสพยายามบอกสิ่งที่ตัวเองได้ก่อขึ้นกับอีกชีวิตหนึ่งอย่างไม่ลังเลแม้จะเกิดความสับสนในใจช่วงแรก แต่ความสยองได้เริ่มต้นตอนจะช่วยชีวิตคนที่ชนนี่แหละ อย่างแรกคือลูคัสไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองอยู่ไหนทำให้ไม่มีใครมาช่วยได้ อย่างที่สองคือลูคัสทำได้เพียงฟังคำแนะนำจากหน่วยกู้ชีพให้ต้องทำยังไงบ้าง จุดที่มองว่าสนุกและทุลักทุเลเป็นช่วงที่อึดอัดใจ เนื่องจากลูคัสไม่มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเลยสักนิด และการช่วยชีวิตคนที่ถูกรถชนในสภาพที่ยับเยินคือความสยองขวัญที่น่ากลัว สำหรับจุดที่มองว่าน่ากลัวสุดเห็นจะเป็นการพยายามช่วยแต่ไม่มีใครให้ช่วยได้เลย จะมีเพียงลูกคัสกับโทรศัพท์ที่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่คอยบอกให้ทำนู้นนี้นั้นในการประคองชีวิต
เป็นตอนที่ลุ้นที่สุดและสยองมากที่สุดอีกด้วย ไม่ใช่สยองแบบผีหลอกหรือมีวิญญาณปีศาจร้าย เป็นความสยองที่ต้องสู้กับความอดทนของตัวเองเหมือนให้คนที่ไม่ใช่หมอไปจัดการคนใกล้ตายแล้วไม่รู้จะทำยังไง สิ่งที่ทำได้เป็นเพียงเสียงจากโทรศัพท์เท่านั้น และกับสภาพคนที่โดนรถชนจนย่ำแย่ปางตายกระดูกหักกล้ามเนื้อฉีกขาดก็จัดว่าโหดร้ายพอตัว แต่ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่สถานการณ์อย่างเดียวเพราะยังรวมถึงบรรยากาศที่จงใจให้ลูคัสอยู่กับคนที่ถูกรถชนเท่านั้น จะเข้าไปขอความช่วยเหลือในโรงพยาบาลหรือหาคนระแวกนั้นไม่ได้เลย เรียกว่าเปลี่ยวในเมืองจนน่าขนลุกก็ว่าได้ นับเป็นตอนที่น่ากดดันและจบได้เกินคาดอยู่ไม่น้อย
"Jailbreak" | Patrick Horvath
เป็นตอนที่ตัวเองมองว่าสนุกน้อยสุดและเหมือนจะคัลท์ที่สุดด้วย เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับแดนนี่ (David Yow) พี่ชายที่ตามหาเจสซี (Tipper Newton) น้องสาวของตัวเองที่หายไปนานหลายปี จนกระทั่งแดนนี่ได้เบาะแสตามหาน้องสาวตัวเอง ทว่าการตามหาน้องสาวได้กลายเป็นความประหลาดที่ต้องเจอแต่สิ่งแปลกๆโดยเฉพาะผู้คนที่เหมือนจะไม่ใช่คน ขณะที่เจสซีเองไม่ได้ดีใจในความพยายามของพี่ชายที่หาจนเจอและย้ำว่านี่คือเรื่องไม่ควรสำหรับพี่ชายของเธอที่มาอยู่ที่นี้ ไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาทั่วไปจะมาเส้นทางนี้และควรออกไปก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้
อีกครั้งกับการต่อยอดเล่าเรื่องราวจากเรื่องที่แล้วแบบเนียนๆจนรู้สึกฉงนใจเหมือนมีอีกมิติซ้อนทับกันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากเกี่ยวกับพล็อตเรื่องแบบเดียวกับเรื่อง Siren และ The Accident ที่มีนัยะการช่วยเหลือที่ไม่รู้ว่าส่งผลดีหรือผลร้ายกันแน่ การตัดสินใจหาน้องสาวที่ห่างหายเสมือนการหลุดไปอีกโลกหนึงอย่างไม่รู้ตัว และสิ่งที่เกิดขึ้นคือความพยายามของพี่ที่จะพาน้องหนีให้ได้ ซึ่งการหนีนั้นไม่ได้หนักหนาอะไร แค่ขับรถหนีก็ควรจะจบแล้ว ทว่าความพิศวงไม่ได้อยู่ที่ตัวตนของสิ่งต่างๆ แต่เป็นเส้นทางที่ไม่รู้เชื่อมเข้ากับอะไร การขับหนีบางสิ่งแบบเรื่องแรกใน The Way Out ทำให้พบชะตากรรมไม่ต่างกัน คือไม่อาจหลุดเส้นทางที่ตัวเองมาได้ การจะกลับบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยยิ่งไปก็ยิ่งไร้ที่สิ้นสุด นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะจะมีตัวแปลกประหลาดแทรกมาในเรื่องด้วย
"The Way In" | Radio Silence
เรื่องสุดท้ายที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง แม้จะไม่ทั้งหมดก็บอกได้หลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นแบบมีเงื่อนงำซ่อนอยู่ โดยเรื่องนี้จะเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งที่มาเลี้ยงฉลองกันอย่างมีความสุขและพักอาศัยในห้องเช่าเพื่อพักผ่อน ทว่าค่ำคืนแห่งการหลับฝันดีต้องเป็นฝันร้ายทันที เมื่อมองไปนอกหน้าต่างจะพบคนปริศนาใส่หน้ากากจ้องมองมาที่ห้องถึงสามคนและคล้ายกับว่าจะเข้ามาทำร้าย จากจุดนี้ชวนให้นึกถึงหนัง The Strangers (2008) ที่จู่ๆมีกลุ่มคนใส่หน้ากากเข้ามาเอาชีวิตโดยไม่รู้ต้นเหตุปลายเหตุมาจากอะไร ซึ่งพล็อตก็ทำนองเดียวกันแค่ต่างที่เล่าเรื่องเร็วกว่า ระทึกกว่า และมีจุดเซอร์ไพรส์แก่คนดูให้เชื่อมโยงกับตอนแรกอีกด้วย
จัดว่าเป็นตอนปิดเรื่องที่สนุกให้อารมณ์แนวนักฆ่าโรคจิตที่มาบุกฆ่าถึงบ้านอย่างไม่ปราณี แต่น่าเสียดายที่จนแล้วจนรอดไม่บอกหรืออธิบายให้กระจ่างในเนื้อเรื่องเท่าที่ควร ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ อะไรคือแรงจูงใจให้ทำ ทำแล้วได้อะไรขึ้นมา และอีกประเด็นคือสรุปแล้วมันส่งผลอะไรยังไงแน่ กับข้อปริศนาที่หนังไม่บอกตรงๆจนบางทีต้องคิดเองตามสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่อาจทำให้สนุกขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่กับคนที่ดูเอารู้เรื่องอาจต้องผิดหวังบ้างเล็กน้อยเพราะบางเรื่องไม่บอกกันตรงๆเช่นเดียวกับเรื่องแรกหรือเรื่องสุดท้ายนี้
ทั้งนี้กับคนที่เคยเสพหนัง V/H/S อาจมีถูกปากไม่มากก็น้อยเพราะยังคอนเซ็ปต์ความน่ากลัว จังหวะ และประโยชน์จากเวลาที่กระชับได้อย่างดี นับว่า Southbound เป็นหนังสยองขวัญรวมเรื่องสั้นที่คุ้มค่าเรื่องหนึ่งที่ต่างมีพล็อตง่ายๆคือเกิดบนท้องถนนตามเส้นทางต่างๆ ทุกเรื่องต่างมีเรื่องราวของตัวเองและทุกเรื่องล้วนเกิดบนเส้นถนนเดียวกัน แค่ต่างกันที่ความพิศวงของมิติและเวลาที่ยากจะบอกว่าทั้งหมดคือเรื่องเดียวกันและอาจเป็นสถานที่เดียวกันหรือใกล้เคียงด้วยซ้ำ ถ้าดู V/H/S แล้วติดใจก็ไม่น่าพลาดเรื่องนี้ เพราะทุกเรื่องยังคงดีกรีความสยองขวัญแบบครบถ้วน ถ้าเรียงลำดับความชอบจะเริ่มที่ The Accident > The Way Out > The Way In > Siren > Jailbreak ส่วนใครจะชอบเรื่องไหนต้องพิสูจน์เส้นทางแต่ละตอนด้วยตัวเองเท่านั้น