The Exorcist III (1990) | เอ็กซอร์ซิสต์ 3 สยบนรก | C+
Director: William Peter Blatty
Genres: Drama | Horror | Mystery
"จะดูภาคนี้รู้เรื่องต้องหาภาคแรก"
The Exorcist (1973) คือภาคแรกตำนานขึ้นหิ้ง มา Exorcist II: The Heretic (1977) ภาคสองไม่น่าจดจำ ส่วนภาคนี้ก้ำกึ่งไม่ดีเท่าภาคแรกแต่ดีกว่าภาคสองและน่าจดจำกว่า นั้นเพราะภาคสามจับเนื้อเรื่องให้เป็นของตัวเอง ทั้งผสมผสานระหว่างเรื่องไสยศาสตร์กับแนวสอบสวนให้เป็นพล็อตเดียวกัน ไม่เหมือนภาคสองที่เสียเพราะความสับสนด้านเนื้อเรื่องที่ออกยุ่งเหยิงเกินไปจนไม่รู้จะเอาทางไหนกันแน่ แถมยังมีบางมุมที่ตั้งใจหาความแปลกแต่เป็นออกทะเลเสียเอง รวมๆน่าเบื่อไม่มีจุดสนใจชวนตื่นเต้นจนกระทั่งหนังจะจบเท่านั้นแหละถึงพอดูดีขึ้นมาบ้าง ด้วยความที่ภาคสองสร้างไม่ดีจนต่างกับภาคแรกเกินไปทำให้กว่าจะกลับมาต้องใช้เวลา 13 ปีถึงจะกลับมาอีกครั้ง
สำหรับภาคนี้ต้องบอกก่อนว่าเทียบภาคแรกไม่ได้ แต่ด้วยองค์ประกอบที่ไม่เหมือนภาคก่อนทำให้เป็นที่น่าจดจำและกลับมาสยองอย่างที่ควรจะเป็น(ไม่ใช่ออกทะเลผสมไซไฟผสมสืบสวนจนไม่รู้ไปสุดที่ไหนกันแน่) ซึ่งเรื่องราวจะสานต่อจากภาคแรกหลังเหตุการณ์ไล่ผี 15 ปี ได้มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นอย่างปริศนา โดยการสืบสวนคดีเป็นหน้าที่ของคินเดอร์แมน (George C. Scott) สารวัตรตำรวจที่เผอิญสืบไปสืบมาไปสงสัยผู้ป่วยจิตเวชไร้ประวัติ (Jason Miller) ว่าเป็นผู้ก่อคดีที่ไม่ธรรมดานี้ ทว่าคนที่สงสัยไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปเพราะอยู่ในห้องขังโรงพยาบาลจิตเวช จึงเป็นความสงสัยตกลงแล้วฆาตกรคือใครกันแน่ แล้วเหตุการณ์เมื่อ 15 ปีก่อนมีความเกี่ยวข้องอย่างไร
William Peter Blatty กลับมาเขียนบทอีกครั้งหลังจากภาคแรกและมากำกับเองอีกด้วย จะบอกว่าพล็อตเรื่องมาแปลกระดับหนึ่งทีเดียวที่ผสมผสานระหว่างเรื่องผีกับแนวสอบสวนจนเป็นสยองขวัญพาเครียด บางทีจะต้องรู้สึกขัดแย้งแบบภาคสองที่พยายามผสมแนววิทยาศาสตร์ที่สุดท้ายไร้ความหมาย แต่เชื่อเถอะว่าออกมาลงตัวและสรุปเรื่องราวได้ดีกว่าเนื่องจากประเด็นส่วนใหญ่ที่เรื่องนี้พูดถึงจะเกี่ยวโยงไปหาภาคแรกแบบที่ต้องดูมาก่อนเท่านั้นจึงจะเข้าใจ แต่ถ้ามาดูภาคนี้แล้วไม่เคยดูภาคแรกอาจมีสับสนในสิ่งที่ตัวละครพูดหรือการหยิบประเด็นบางอย่าง เช่นตัวนักแสดง Jason Miller ที่มีแต่คนดูภาคแรกมาก่อนจึงจะคุ้นหน้าในฐานะหลวงพ่อที่ช่วยกันขับไล่ปีศาจจนต้องกระโดดลงบันไดเพื่อสยบปีศาจ ส่วนจะมาเกี่ยวข้องยังไงอันนี้ต้องตั้งใจดูกันซะหน่อยเพราะจะบอกที่มาที่ไปของตัวละครนี้
สังเกตว่าประเด็นที่ภาคสองทำเอาไว้หรือเรื่องราวต่างๆที่เชื่อมกับภาคแรกแทบจะหายอย่างไม่มีเยื่อใย ซึ่งนั้นมาจากเหตุผลของ William Peter Blatty ที่ค่อนข้างเกลียดภาคต่อพอสมควรจนไม่อยากให้เป็นชื่อภาคต่อที่สามด้วยซ้ำ แต่จนแล้วจนรอดเพื่อกระแสชื่อเสียงและรายได้จึงจำใจใช้ชื่อภาคต่อจากที่คิดไว้เป็นชื่อ "Exorcist 1990" ส่วนประเด็นเนื้อเรื่องยังคงเสียดสีศาสนาเช่นเดิมและเพิ่มอรรถรสเกี่ยวกับนักฆ่าราศีเมถุน (The Gemini Killer) ที่ดัดแปลงจากเรื่องจริงของฆาตกรจักรราศี (Zodiac Killer) นับว่าแปลกพอสมควรจากหนังไล่ผีมาเป็นหนังสืบสวนที่ไม่รู้ว่าจะจับผีหรือจับคนกันแน่
The Exorcist III ยังคงเสน่ห์กลิ่นอายความหลอนด้วยบรรยากาศของศาสนาคริสต์ มีแฝงนัยยะตามรูปปั้นหรือไม้กางเขนที่บ่งบอกถึงการต่อต้านที่ชัดเจน ในช่วงแรกจะเป็นการสืบสวนคดีของคินเดอร์แมนที่พบว่ามันไม่ชอบมาพากล ซึ่งรูปคดีไปสอดคล้องกับนักฆ่าราศีเมถุนที่ตายไปแล้วจนเหมือนคนเดียวกัน แต่พอสืบลึกจนได้เบาะแสเพิ่มต้องฉงนใจเพราะคนที่คิดว่าไม่น่าทำดันรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับนักฆ่าราศีเมถุน แม้กระทั่งยั่วยุหรือการให้ปริศนาเกี่ยวกับเหยื่อรายต่อไปยังเกี่ยวข้องกันได้ แน่นอนว่าประเด็นนี้เป็นความสงสัยพอสมควรว่าคนที่อยู่แต่ห้องขังผู้ป่วยจะไปฆ่าใครที่ไหนได้อย่างไร แถมยังรู้เบาะแสชนิดที่เห็นกับตาราวกับคนทำจริงๆ ถ้าถามว่าปริศนานี้น่าตื่นเต้นมากไหม ก็อาจจะไม่เท่าไรเพราะกว่าจะมาถึงจุดสำคัญจริงๆอาจทำให้หลับกันก่อนได้
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
ฉากคินเดอร์แมนเข้าไปคุยกับผู้ป่วยจิตเวชในห้องขังอาจทำให้สับสนเรื่องนักแสดงที่เดี๋ยวเป็น Jason Miller เดี๋ยวเป็น Brad Dourif ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ แน่นอนต้องมีงงกันบ้างเพราะจู่ๆมาเปลี่ยนนักแสดงโดยไม่บอกกล่าวกันเลยสักนิด ตกลงแล้วใครคือคนที่อยู่ในห้องขังกันแน่ คำตอบนี้อธิบายได้ง่าย เริ่มที่ Jason Miller จากข้อสังเกตหลายอย่างทั้งนักแสดง ตัวละครในเรื่อง และเบาะแสจากภาคแรกและภาคนี้ทำให้รู้ว่าคือหลวงพ่อเดเมี่ยน คาร์ราส ทว่าการขับไล่ปีศาจในภาคแรกสำเร็จแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นและเขาได้ตายจากการกระโดดหน้าต่างลงบันได(การเผชิญกับปีศาจที่ยังไม่สิ้นซากได้สานต่ออีกครั้งในภาคสอง) ส่วนที่ผู้ชมเห็นกันเป็นเพียงร่างกายที่ถูกวิญญาณอื่นเข้ายึดร่างเอาไว้ แต่ด้วยความสับสนจึงถูกจับเข้าโรงพยาบาลจิตประสาทเป็นคนไข้ที่ไร้ที่มาที่ไป ซึ่งในส่วนนี้เป็นนักแสดง Brad Dourif หรือนักฆ่าราศีเมถุนนั้นเอง ดังนั้นการสลับหน้าตาเป็นเพียงตอกย้ำตัวละครให้ชัดเจนเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่รู้มีแต่จะดูยากยิ่งขึ้น
ประเด็นต่อมาคือทำไมต้องใช้ร่างกายของหลวงพ่อเดเมี่ยน คาร์ราส นั้นเป็นเหตุผลของ Pazuzu ปีศาจเจ้าแห่งลมในภาคแรกที่ต้องการเอาคืนด้วยใช้ร่างกายที่มีวิญาญาณนักฆ่าราศีเมถุนไปทำบาปเพื่อสะท้อนถึงวิญาญาณของเจ้าของให้เจ็บปวด แต่การใช้ร่างที่กระทบกระเทือนจนย่ำแย่ต้องใช้เวลา 15 ปีในการฟื้นฟู นั้นจึงเป็นการเชื่อมโยงว่าทำไมพึ่งมาก่อเหตุในตอนนี้ได้และมีส่วนเกี่ยวข้องยังไงกับหลวงพ่อเดเมี่ยน คาร์ราส ส่วนจะออกห้องขังไปฆ่าคนอื่นได้นั้นเป็นวิธีเดียวกับภาคแรกหรือเอกลักษณ์ของหนังชุดนี้คือการเข้าสิง ซึ่งในเรื่องตอนท้ายจะเฉลยแบบหมดเปลือกถึงความสามารถของนักฆ่าราศีเมถุนที่ไม่แค่อยู่ในร่างคนอื่นแต่สามารถเคลื่อนย้ายไปเข้าคนอื่นได้อีกด้วย จึงเป็นคำตอบที่ว่านักฆ่าราศีเมถุนที่ตายไปแล้วทำไมยังก่อคดีและพูดถึงเรื่องตัวเองได้ถูกต้องให้คินเดอร์แมนฟัง
โดยส่วนตัวมองว่า The Exorcist III เน้นการเดินเรื่องมากเกินไปจนบางทีน่าจะตัดออกไปบ้าง อย่างบทสนทนาที่กินระยะเวลาและสำนวนค่อนข้างนานดูแล้วจะหลับเอาได้ โดยฉากคินเดอร์แมนคุยกับราศีเมถุนนี่พูดกันไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แต่ในคำพูดนั้นล้วนเป็นจุดเฉลยของเรื่องและสาเหตุต่างๆนาๆ ทว่าคนที่ไม่ทันฟังหรือสนใจจะยิ่งน่าเบื่อและงงที่มาที่ไป อารมณ์เหมือนนั่งอ่านนิยายที่ไม่เร่งรีบแต่อ่านจนจบ สรุปว่าดีกว่าภาคก่อนแต่ยังไงภาคแรกเหนือกว่าแน่นอน สำหรับภาคนี้จัดว่ากลางๆไม่ดีและไม่แย่ อันที่จริงจะสนุกและตื่นเต้นกว่านี้ถ้าทำให้กระชับและเพิ่มจังหวะอีกหน่อย