Death Note: Light Up The New World (2016)
เดธโน๊ต สมุดมรณะ
Director: Shinsuke Sato
Genres: Crime | Drama | Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: C
ถ้าไม่นับ L: Change the World (2008) ที่เป็นภาคแยกของแอลจะถือเป็นภาคต่อของ Death Note: The Last Name (2006) ที่มีช่วงห่างถึง 10 ปี ยาวนานจนไม่คิดว่าจะมีภาคต่อเพราะทุกประเด็นถูกกำจัดและเคลียร์ไปที่เรียบร้อย อีกทั้งการจะมีภาคต่อก็ดูจะเป็นไปไม่ได้เพราะเดิมทีสิ่งที่ทำเอาไว้ในภาค 2 คือบทสรุปที่จบลงอย่างสมบูรณ์ จะไม่มีความซับซ้อนจนน่าปวดหัวกับการเล่นท่ายาก แต่คือความเป็นไปได้ที่สามารถจบลงอย่างสมเหตุสมผลในแบบที่คนดูไม่เครียดเกินไปแบบในมังงะอันสุดจะแผนซ้อนแผนและซ้อนแผนจนไม่มีใครยอม
Death Note (2006) หรือภาคแรกได้สร้างความสนุกตามแบบฉบับมังงะจนสร้างความประทับใจกันไม่น้อยและจบลงในแบบที่ต้องหยิบภาคต่อมาติดตามทันที แน่นอนว่าการปิดเรื่องราวของเดธโน๊ตในฉบับมังงะนั้นมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างยาว มิหน้ำซ้ำยังละเอียดด้วยตัวหนังสือกับคำอธิบายจำนวนมาก ฉะนั้นการย่อยยังไงให้ดูเข้มข้นแต่ง่ายจึงเป็นสิ่งที่สองภาคแรกทำได้แม้จะเปลี่ยนไคล์แม็กซ์ด้วยการให้ตัวละครอย่างแอลมีชีวิตต่อไป ผิดกับในมังงะที่แอลพ่ายแพ้แก่ยางามิ ไลท์เพราะความซับซ้อนของกฎยมฑูตในเดธโน๊ต อีกทั้งเป็นความฉลาดเกมโกงของยางามิ ไลท์ที่ใช้แผนจิตวิทยาฝืนใจยมทูตเพื่อปกป้องมิสะ แต่เดิมทีแอลได้สันนิษฐานอยู่ก่อนแล้วว่ายางามิ ไลท์คือคิระ ทว่าไม่อาจทำอะไรได้เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานที่เพียงพอให้จับกุม สำหรับเรื่องราวหลังจากนั้นในมังงะจะมีผู้สืบทอดรับช่วงต่อจากแอลเพื่อไขคดีคิระต่อไป
Death Note New Generation (2016) จะเป็นมินิซีรี่ย์ออกมา 3 ตอนที่เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าภาคนี้เพื่อไขข้อกระจ่างและสร้างความน่าสงสัย แนะนำว่าจะดูก่อนหรือไม่ก็ได้เพราะไม่ได้ละเอียดถี่ถ้วนจนดูภาคนี้ไม่รู้เรื่อง ทว่ากับขาจรที่นึกหยิบมาดูเลยต้องประสบปัญหาเกี่ยวกับที่มาที่ไปของตัวละครกับเนื้อเรื่องที่มีการพูดถึงภาคก่อนๆอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือมิสะ (Erika Toda) เด็กสาวผู้ถือเดธโน๊ตและรับถือคิระยิ่งกว่าใครๆแต่ต้องสูญเสียความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับเดธโน๊ตตามกฎยมฑูต โดยภาคนี้หวังว่าจะมีอะไรให้น่าสนใจเพราะยังเป็นตัวละครเก่าที่มีชีวิตรอดเหลืออยู่ กระนั้นไม่ได้ช่วยยกระดับเรื่องราวใดๆเลย ซ้ำร้ายคือการมาของมิสะเป็นได้เพียงตัวประกอบที่เหมือนจะโดดเด่นแต่ถูกทิ้งหายและกลับมาตัดจบราวกับไม่รู้จะกำหนดชะตาชีวิตยังไงต่อไป
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ภาคนี้น่าสนใจคือการดึงยางามิ ไลท์ (Tatsuya Fujiwara) กับแอล (Ken'ichi Matsuyama) เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในภาคนี้แม้ทั้งสองจะจบชีวิตจากกันไป กระนั้นก็มาเป็นฉากสั้นๆให้หายคิดถึงเท่านั้น โดยรวมแล้วแทบไม่มีผลกับตัวหนังแต่อย่างใดเพราะภาคนี้เป็นชุดตำรวจปฏิบัติใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อค้นหาและจับกุมผู้ครอบครองเดธโน๊ตเนื่องจากมีการขยายกฎเกี่ยวกับเดธโน๊ตให้โลกมีได้ถึง 6 เล่ม ด้วยจำนวนเล่มที่เพิ่มขึ้นจาก 2 เล่มทำให้ดูมีอะไรมากกว่าที่ภาคก่อนทำเอาไว้ แต่แล้วด้วยจำนวนเล่มที่มากขึ้นกว่าเดิมไม่ได้ช่วยให้ความสนุกเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ซ้ำร้ายคือเดธโน๊ตแต่ละเล่มถูกเจอง่ายเกินไปจนแทบไม่มีการชิงไหวพริบอย่างที่ภาคก่อนสร้างทริคจริงหลอกจนหัวปั่น
ริวซากิ (Erika Toda) เสมือนตัวแทนแอลเพราะเป็นผู้สืบทอดและถอดบุคลิกเหมือนกันอยู่ไม่น้อยจนน่าจะเป็นจุดเด่นของเรื่องได้ แต่ทางกลับกันดูธรรมดาไม่แรงเสน่ห์มากพอให้รู้สึกเทียบกับแอลได้เลย ในบางมุมอาจจะมีบ้างในส่วนของเสื้อผ้าหน้าผมกับลักษณะกวนๆ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ริวซากิที่น่าจะเป็นแอลในภาคนี้ดูธรรมดาก็เพราะการเล่าเรื่องที่ไม่หวือหวาออกจะราบเรียบ ขนาดที่ว่าช่วงน่าตื่นเต้นหรือจุดไคล์แม็กซ์ยังไม่เร้าใจพอ ความน่าเชื่อถือที่สืบทอดมาจากแอลจึงน้อยลงกลายเป็นตัวละครธรรมดาที่ฉลาดแต่รู้สึกเฉยๆ เช่นกันกับยูกิ ชิเงน (Masaki Suda) ผู้ถือครองเดธโน๊ตและพยายามตามล่าให้ครบทุกเล่มเพื่อฟื้นคืนชีพแก่คิระที่สร้างมาได้เก่งกาจขนาดที่ว่ารวบรวมเดธโน๊ตจากทั่วโลกมาไว้กับมือด้วยตัวเอง อย่างที่รู้การสืบหาผู้ใช้เดธโน๊ตย่อมยากลำบากเพราะไม่มีหลักฐานทิ้งไว้ อยากจะจบชีวิตใครแค่เขียนลงกระดาษ พอเป็นแบบนี้นึกถึงสองภาคก่อนที่สืบแล้วสืบอีกกว่าจะเจอตัว ซึ่งถ้าเป็นไปได้อยากให้มีการอธิบายในจุดนี้ว่ารู้ได้ยังไง แน่นอนการหาจนครบ 6 เล่มแบบละเอียดคงไม่พอหากคิดทำภาคเดียว
ทสึคุรุ มิชิมะ (Masahiro Higashide) หัวหน้าชุดสืบสวนเรื่องเดธโน๊ตที่พอจะเป็นคู่ฟัดคู่เหวี่งกับริวซากิจากความคิดและนิสัยที่ต่างกันทำให้เห็นขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้งจนมีความคล้ายคลึงกับยางามิ ไลท์กับแอลที่ต่างช่วยกันสืบเรื่องเดธโน๊ตจนต้องทะเลาะกันบ้าง ดังนั้นอารมณ์จึงไม่ต่างกับสองภาคแรกที่นอกจากพล็อตเรื่องคล้ายกันแล้วยังวิธีการต่อสู้กันด้วยสมองและจิตวิทยาที่คล้ายกันจนพาลไปว่าแอบกินของเก่า ซึ่งสังเกตอยู่หลายฉากจะใช้วิธีเดิมหรือคล้ายกันมาประยุกต์ในเหตุการณ์ใหม่ ถ้าถามว่าจำเจไหมก็ว่าจำเจเพราะไม่พีคหรือรู้สึกทึ่งกับแผนที่วางเอาไว้สักเท่าไร ขณะเดียวกันยังรู้สึกเรียบง่ายไม่รู้สึกรู้สากับการเซอร์ไพรส์ตามฉากต่างๆ แต่กว่าจังหวะจะเข้าที่ก็เกือบไคล์แม็กซ์ที่เริ่มดึงอารมณ์ได้ดีและเข้มข้นขึ้น
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสีของชุดที่ตัวละครใส่จะสลับกันระหว่างดำกับขาว ฝั่งที่ตามล่าเดธโน๊ตจะใส่สีดำ ขณะที่ฝั่งใช้เดธโน๊ตจะใส่สีขาว เป็นการสื่อนัยยะแบบสลับกันระหว่างระหว่างความยุติธรรมกับความถูกต้อง สำหรับความยุติธรรมที่คนชั่วคนเลวทำนั้นสมควรตายและความถูกต้องควรให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายตัดสิน เป็นความต่างมุมมองระหว่างจะรอให้กฎหมายจัดการหรือไม่และผลของกฎหมายนั้นเข้มแข็งมากแค่ไหนก็ไม่อาจให้เลิกทำชั่วได้แม้จะออกจากคุกมากก็ตาม ซึ่งการใช้เดธโน๊ตช่วยกำจัดได้ทันทีและลดการเกิดอาชญากรรมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้คิระหรือนามของผู้ใช้เดธโน๊ตได้้รับการรับถือบูชาดุจพระเจ้า
Death Note: Light Up The New World เป็นภาคที่เสียดายตรงที่ขาดไหวพริบและความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง หลายสิ่งหลายอย่างยืมของเก่ามาใช้จนขาดความสดใหม่แม้จะพยายามดันเรื่องราวให้ไกลยิ่งขึ้นแต่ก็ถูกรวบรัดอย่างง่ายดาย ด้านตัวละครแม้จะพยายามเกลี่ยบทให้ทั่วถึงก็ยังสร้างความเสียดายกับตัวละครสำคัญอย่างมิสะที่มาง่ายไปง่าย ทางด้านนักแสดง Erika Toda ที่กลับมารับบทเดิมนั้นความน่ารักลดลงไปแต่แทนที่ด้วยความสวย ฉะนั้นจะมองหาความน่ารักแบบภาคก่อนคงไม่ได้เพราะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และส่วนที่ขาดไม่ได้คือเหล่ายมฑูตที่ปรากฎตัวให้เห็นแก่ผู้สัมผัสเดธโน๊ต ซึ่งหนนี้ค่อนข้างผิดหวังจากบทบาทที่น้อยจนแทบลืมไปเลยว่ามี ด้านยมฑูตลุคที่เสมือนตัวชูโรงยังถูกลืมหายไปเกือบทั้งเรื่องเฉกเช่นยมฑูตตัวอื่นๆที่แวบเดียวจบ บางทีถ้าใส่ใจความสัมพันธ์ของมิติตัวละครไม่ว่าจะคนหรือยมฑูตให้เข้าถึงกว่านี้อาจจะยกระดับความสนุกและเข้มข้นมากกว่านี้ก็เป็นได้