Escape from L.A. (1996)
แหกด่านนรก แอลเอ
Director: John Carpenter
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
Grade: C
เดี๋ยวๆถ้ายังไม่เคยดู Escape from New York (1981) จะไม่ตะหงิดใจอะไรเลย แต่กับคนที่ดูมาแล้วจำได้ว่ามีเรื่องราวลักษณะไหนนี่สิ เพราะอะไรนั้นเกิดจากพล็อตเรื่องแทบจะหยิบมาใช้ใหม่เกือบทั้งหมด ถ้าไม่ใช้ Kurt Russell มาเล่นเป็นบทเดิมอาจคิดว่าเป็นการรีบูทเพราะทิ้งช่วงห่างกันถึง 15 ปี ยาวนานจนเจ้าตัวต้องกลับไปฟิตหุ่นให้ออกมาใกล้เคียงสมัยตัวเองเล่นภาคแรก แม้หลายอย่างจะเหมือนกันจนมากไปหน่อย แต่อย่างน้อยเรื่องรายละเอียดยิบย่อยช่วยให้หลุดพ้นจากคำว่าเหมือนได้(ถึงหลายคนจะมองเหมือนก๊อปปี้ก็ตาม)
ภาคนี้กลับมาพร้อมทุนที่หนาถึง $50 ล้าน ทำเอาภาคแรก($7 ล้าน)กลายเป็นหนังคนจนไปเลย กระนั้นอย่าลืมว่าข้อดีสำหรับเรื่องนี้คือการเห็นฉากหลังที่เต็มไปด้วยบ้านเมืองตึกพังๆร้างผู้คน ไม่เน้นความอลังการแต่เน้นอารมณ์สมจริง ทำให้ภาคแรกดูดิบเถื่อนน่ากลัวสมกับเป็นเมืองรวมอาชญากร ขณะที่ภาคนี้ทุนมากต้องเห็นอะไรที่มากตามจนดูธรรมดาไปบ้างแม้ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม สิ่งแรกคือ CGI ที่กลายเป็นของคุณภาพต่ำที่นอกจากไม่เนียนอย่างมากแล้วยังดูขัดตาเสียนี่กระไร ทำเอาผิดหวังเรื่องเอฟเฟคที่ไม่ช่วยกระตุ้นความตื่นเต้นใดๆ ต่อมาคือองค์ประกอบที่ใหญ่ขึ้น มีผู้คนมีฉากต่างๆที่ไม่ดูโล่งเหมือนเมืองร้าง ทำให้เห็นความดิบเถื่อนที่มากขึ้น
แม้จะทุนสูงแค่ไหนก็สู้ทุนน้อยแต่คุ้มราคาอย่างภาคแรกไม่ได้และต้องผิดหวังที่เรื่องนี้ขาดทุนเพราะทำรายได้เพียง $42 ล้านแถมไม่คืนทุนอีกต่างหาก ซึ่งไม่แปลกใจเพราะทำออกมาใกล้เคียงกับภาคแรกมากเกินไปจนขาดความสดใหม่ ต่อให้เปลี่ยนเนื้อเรื่องแค่ไหนก็หนีไม่พ้นเรื่องเกาะที่มีแต่อาชญากรและต้องเข้าไปชิงบางอย่างกลับมา กระนั้นพูดถึงความน่าสนใจอย่างหนึ่งที่ทุนหนากว่าเดิมเพราะผู้กำกับ John Carpenter อยากได้ในสิ่งที่ไม่มีในภาคแรก บางอย่างที่สามารถขยายเรื่องราวให้มีประเด็นมากขึ้นพร้อมกับแอ็คชั่นที่ไม่น้อยกว่าเดิม
เรื่องเกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อลอสแอนเจลิสเป็นเกาะที่แยกตัวออกมาไว้สำหรับคนที่ทำผิดกฎหมายหรือคนที่ไม่อาจรับระบบระเบียบแบบใหม่ได้ ซึ่งเป็นนโยบายของประธานาธิบดี (Cliff Robertson) ที่ต้องการสังคมรูปแบบใหม่ ไม่มีความรุนแรงไม่มีเรื่องผิดศีลธรรมและเขาสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ตลอดชีวิตเพราะเคยทำนายอนาคตว่าจะเกิดแผ่นไหว เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นทำให้ทุกคนศรัทธาเลื่อมใสเชื่อฟังเปลี่ยนเมืองหลวงดีซีไปอยู่ลินซ์เบิร์กและเวอร์จิเนีย ส่วนคนที่ไม่เชื่อฟังจะถูกเนรเทศแบบเดียวกับคนผิดกฎหมายหรืออาชญากรอย่างไม่มีวันกลับ
สเนค พลิสสเก็น (Kurt Russell) ถูกจับกุมพร้อมเข้ารับโทษจำคุกในเกาะลอสแอนเจลิส ทว่าได้รับข้อเสนอแลกกับอิสระภาพในการตามหา ยูโทเปีย (A.J. Langer) ลูกสาวประธานาธิบดีที่ขโมยอาวุธต้นแบบแล้วจี้เครื่องบินหนีไป ซึ่งสถานที่ที่หนีไปนั้นคือลอสแอนเจลิสที่รวมเหล่าอาชญากรมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะ เคอโว โจนส์ (Georges Corraface) หัวหน้าแก๊งใหญ่ที่สุดที่พยายามยึดทุกสิ่งกลับคืนมา กระนั้นงานนี้จะไม่ยากถ้ารัฐบาลไม่ใส่เชื้อไวรัสในตัวสเนคและมีเวลาเพียง 10 ชม.เท่านั้นก่อนที่เชื้อจะกำเริบ
มาพล็อตเดิมแต่มีรายละเอียดและแอ็คชั่นผจญภัยมากขึ้น แต่ความน่าตื่นเต้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ถามว่าทำไมคงต้องเปรียบเทียบความไม่มากไปน้อยไปในภาคแรกที่ออกมาลงตัว ขณะที่ภาคนี้เพิ่มเติมอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับบริบทสังคม ตั้งแต่เรื่องประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้ตลอดชีวิตเพราะทำนายการเกิดแผ่นดินพร้อมปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตกันใหม่ แม้แต่เด็กที่หนีเรียนหรือออกจากบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องถูกลงโทษ เรื่องความรุนแรงถูกยับยั้งห้ามเกิดขึ้นเพราะประธานาธิบดีเป็นพวกคลั่งศาสนา กระนั้นความไม่ตรงกับปากก็มีให้เห็นจากของสำคัญที่ถูกลูกสาวชิงไป นั้นคืออาวุธที่สามารถหยุดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างที่ยิงจากดาวเทียมและเล็งเป้าทุกประเทศทั่วโลก
สังคมนอกกำแพงอาจจะเลิกใช้ความรุนแรงก็ใช่จะหยุดความมีอำนาจลงได้ ของที่ถูกชิงไปสามารถใช้ต่อรองกับประเทศอื่นๆเพราะตกอยู่ในสงครามที่รายล้อมด้วยข้าศึก ส่วนภายในกำแพงมีแต่กลุ่มหัวรุนแรงที่ฆ่าได้อย่างสนุกสนาน กระนั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะป่าเถื่อนเสมอไป ยังมีบางคนที่รักตัวกลัวตายอยู่อย่างสงบจนคิดว่าเป็นพื้นที่อิสระ ไม่มีกฎเกณฑ์บังคับ สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ซึ่งประเด็นนี้ไปจี้จุดตรงฝ่ายนอกกำแพงที่มีแต่ระเบียบที่เข้มงวดขาดเสรีภาพ
แม้เรื่องราวยังวนเวียนไม่ต่างจากภาคแรก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการผจญภัยที่กว้างขึ้นจากการเจอกลุ่มคนแปลกๆที่ไม่ได้มีแต่หัวรุนแรงเท่านั้น สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือลัทธิประหลาดที่บูชาการทำศัลยกรรมจับคนมาตัดเนื้อแต่งหนังไม่ให้แก่ เป็นการเสียดสีคนมีเงินที่รวยสูบเงินคนจนให้เหี่ยวแห้ง อาจจะเพราะทุนมากขึ้นจึงมีโอกาสเห็นลูกเล่นมากมายทำให้เชื่ออย่างหนึ่งว่าเป็นสถานที่เลวร้ายที่หนึ่ง แต่ส่วนตัวชอบแบบภาคแรกที่น่าระแวงว่าจะมีอะไรโผล่มาบ้าง ซึ่งภาคนี้ดูเป็นสังคมเกาะกลุ่มกันอยู่อาศัย
นอกจากเนื้อเรื่องหรือประเด็นก็คือความผิดที่ผิดทางของตัวละครบางตัวที่มักจะมาในจังหวะเหมาะเจาะ จะไม่ใช่ตัวละครหลักแต่เป็นตัวละครเสริมที่มาพลิกวิกฤตเป็นโอกาสแบบงงๆ เป็นตลกร้ายที่เหมือนต้องการจะบอกว่าพระเอกไม่ได้เก่งเสมอหรอก แค่มีดวงมากกว่าเท่านั้นเอง ขณะเดียวกันนี่ไม่ใช่พระเอกในมาดคนดีแต่อย่างใด หากเป็น Anti-Hero ที่ถูกบังคับให้ทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กระนั้นการคิดการทำยังเป็นคนดีแค่ไม่แสดงออกเพราะสภาพสังคม เป็นสังคมในแบบไม่ดีจริงแต่แบ่งชนชั้นแยกดีแยกเลวเพราะตัวเองมีอำนาจ
Escape from L.A. เหมือนจะผลักการเล่าเรื่องให้สนุกและตื่นเต้นมากขึ้น จะไม่เนิบนาบเรื่อยๆอย่างภาคแรกที่แอ็คชั่นน้อย ซึ่งก็สนุกขึ้นแต่ไม่น่าจดจำหรือตื่นเต้นเท่าไร อาจเพราะมีหลายอย่างจึงดูล้นกับบางฉากอย่างตอนไคล์แม็กซ์ค่อนข้างโม้มากไปหน่อย(โม้เรื่องเครื่องร่อนที่บินไปได้ยังไงไม่รู้) ยอมรับว่าหลายอย่างตั้งใจให้ออกมาหลากหลายแต่จะดีกว่าถ้าออกมาพอดีเช่นภาคแรกที่เล่นน้อยต่อยหนัก ถ้าจะได้คงไม่พ้นเรื่องนักแสดงเสริมที่ขนกันมาพอตัว เช่น Steve Buscemi เป็นตัวละครผีเข้าผีออก ไม่รู้อยู่ข้างไหนแต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว, Peter Fonda คนแรกที่สเนคเจอบนเกาะก่อนจะเป็นตัวช่วยเพราะความบังเอิญเหลือเชื่อ, Valeria Golino สาวน้อยที่พลัดหลงเจอสเนคและเชื่อว่าสถานที่ในกำแพงนี้ดีกว่าข้างนอกที่มีแต่กฎระเบียบ, Pam Grier เพื่อนเก่าของสเนคที่มาเจอกันในเกาะ และที่ไม่รู้มาก่อนคือ Bruce Campbell ในบทหมอศัลยกรรมที่เมคอัพจนไม่รู้ว่าคือคนเดียวกัน
ดูเอาประเด็นอาจจะสนุกเพราะได้ข้อคิดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเสียดสีผู้นำประเทศ สภาพสังคม กฎระเบียบบ้านเมือง แต่ให้ดูการเล่าเรื่องว่าสนุกมากน้อยแค่ไหนก็พอเพลินๆ ไม่ถึงขั้นให้น่าจดจำแบบภาคแรกอาจเนื่องด้วยหยิบของเก่ามาใช้ค่อนข้างมาก พออะไรหลายอย่างดูเหมือนกันทำให้รู้สึกซ้ำไม่แปลกใหม่ ทั้งนี้ดูภาคนี้ก่อนแล้วดูภาคแรกอาจจะเป็นอีกแบบสำหรับคนที่ชอบเดินเรื่องเร็วกับแอ็คชั่นมากหน่อย ผิดหวังตรงเหมือนกันมากไปหน่อย แต่กับแฟนๆที่ดูเพราะ Kurt Russell นี่ไม่ผิดหวัง ยังคงเท่กินใจกับลีลาท่าทางเหมือนเดิมและจะเท่มากในฉากบาสเกตบอลชู้ตลงห่วงที่เบื้องหลังมาจากฝึกซ้อมล้วนๆ