Escape from New York (1981)
แหกนรกนิวยอร์ค
Director: John Carpenter
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: A-
"นี่แหละ Anti-Hero"
ถ้าดูแบบธรรมดาไม่คิดอะไรจะเป็นหนังที่ธรรมดาเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าคิดวิเคราะห์ซะหน่อยจะเห็นความจี้เส้นบางอย่างด้วยการเสียดสีระบบระเบียบที่สร้างขึ้นมาว่าเนื้อแท้เป็นเรื่องจอมปลอมที่มีไว้หลอกตัวเอง นั้นคือสันติภาพและความปลอดภัยแก่มวลมนุษย์โลก อาชญากรมีมากแต่ไม่ได้แปลว่าผลกระทบจะต้องมากขึ้นเสมอไปเพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทุกคนและทุกที่แค่รอเวลาเกิดเท่านั้น แต่ประเด็นที่ว่าจะเกิดกับใครและใครต้องการเขี่ยทิ้งคนพวกนี้
เมื่ออาชญากรมีมากเกินระเบียบกฎหมายบ้านเมืองจะควบคุมได้ไหวก็ต้องสร้างเมืองที่มีแต่อาชญากรอาศัยไปซะเลย ซึ่งสถานที่ดังกล่าวคือเกาะแมนฮัตตันในนครนิวยอร์คที่เป็นที่ตั้งของเทพีเสรีภาพ จากเมืองอิสระเสรีกลายเป็นที่อยู่ของเหล่าคนเลว โดยเมืองจะล้อมรอบด้วยกำแพงปิดกั้นการเข้าออกทุกชนิด ยกเว้นครั้งนี้เมื่อ สเนค พลิสสเก็น (Kurt Russell) ถูกจับกุมและต้องทำงานให้ทางการตามหาประธานาธิบดี (Donald Pleasence) พร้อมกับของสำคัญที่ตกเครื่องบินเข้าแดนกักกั้นนิวยอร์ค ทว่าการตามหาและพากลับมาไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องแข่งกับเวลาภายใน 24 ชม.ก่อนที่จะตายเพราะระเบิดไมโครที่ติดตั้งอยู่ในตัวเขา
สิ่งแรกคือหนังมีสไตล์โดนใจพอสมควร เรื่องบรรยากาศหรือฉากต่างๆล้วนรู้สึกว่าธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา หลายสิ่งดูเสื่อมโทรมกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกว่างเปล่า ไม่มีใครสนใจหรือดูแลและปล่อยไปตามกาลเวลาจนเก่าแก่ ฉากที่เห็นตึกระฟ้าต่างๆมากมายล้วนแต่ดูสมจริงจนต่อมาได้มีการหยิบยืมโมเดลตึกเหล่านี้ไปใช้ใน Blade Runner (1982) ซึ่งพัฒนาปรุงแต่งจนโดดเด่นเกินยุคสมัยที่หนังในยุคนั้นทำได้ ต้องยอมรับความทุ่มเทของคนสมัยนั้นที่คิดค้นดัดแปลงจนคำว่าจินตนาการล้วนเป็นไปได้จริง
"เบื้องหลังแบบจำลองเมือง"
พล็อตเรื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Planet of the Damned ของ Harry Harrison ที่เกี่ยวกับชายที่ไม่มีทางเลือกและต้องทำงานให้รัฐบาล ซึ่งตรงกับตัวเอกของเรื่องที่ถูกบังคับทำงานให้รัฐบาลโดยมีระเบิดอยู่ในร่างกาย ส่วนเรื่องสถานที่นั้นเป็นความคิดของผู้กำกับ John Carpenter ที่ได้เดินทางไปแมนฮัตตันพร้อมกับดูส่วนต่างๆของเมืองนิวยอร์ค เมื่อมีไอเดียจึงเกิดเป็นฉบับร่างแรกขึ้นในปี 1974 แต่ไม่มีใครสนใจเพราะมองว่าเนื้อหามืดมนเกินไป
จนแล้วจนรอดสร้างชื่อเสียงด้วยผลงานหนังสยองขวัญสุดคลาสสิคเรื่อง Halloween (1978) จึงทำให้พล็อตเรื่องที่เขียนเอาไว้อย่างยาวนานได้ถูกสร้างเป็นหนังด้วยทุนสร้างทั้งหมด $7 ล้าน นับเป็นทุนหนาที่สุดของ John Carpenter ในขณะนั้น แต่หนังหายห่วงเรื่องกำไรที่ได้ไป $25 ล้านพร้อมกับคำชมมากมาย โดยเฉพาะพระเอกของเรื่องที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่างมากเรื่องผ้าปิดตา ซึ่งความคิดนี้เป็นของ Kurt Russell ทำให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นมากทีเดียว อีกทั้งเป็นตัวละครค่อนไปทางสีดำเกินว่าจะบอกไปทางเทาๆเพราะยอมทำงานให้จากการโดนบังคับและตอนจบที่จี้ใจดำซะเหลือเกิน
กว่าจะเป็น สเนค พลิสสเก็น ก็มีตัวเลือกอย่าง Clint Eastwood หรือ Charles Bronson แต่ถูกปฏิเสธไปด้วยเรื่องของอายุ โดยส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ไม่มีการเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่ว่าจะคาแรคเตอร์หรือท่าทางหรือจะเรื่องผ้าปิดตาก็ล้วนเป็นเสน่ห์ที่ Kurt Russell สร้างขึ้น ขนาดที่ว่าต้องเอยปากชมตัวเองว่าคือหนังที่ตัวเองชอบมากที่สุดและเป็นการแสดงที่รักมากที่สุดด้วยเช่นกัน ถ้าพูดถึงแล้วก็ต้องว่าตามน้ำเพราะเป็นตัวละครที่เท่ถล่มทลายเสียจริง
นอกจากชื่อ สเนค พลิสสเก็น (Snake Plissken) ที่เห็นกันในหนังยังมีชื่ออื่นอีกเมื่อตอนเข้าฉาย เช่น ไฮยีน่า (Hyena) ในประเทศอิตาลี และ คอบร้า (Cobra) ในประเทศเกาหลีใต้ ไม่รู้ว่าเปลี่ยนทำไมแต่คิดว่าชื่อเดิมดีกว่าอยู่แล้ว แต่เดาว่าเป็นความโดดเด่นของแต่ละประเทศ ถึงจะอย่างนั้นชื่อเดิมสมกับคาแรคเตอร์ที่ร้ายดุจอสรพิษที่แว้งกัดได้เสมอยิ่งตอนจบจะรับรู้ได้ถึงความร้ายกาจที่ไม่สนหน้าไหนทั้งนั้น เป็นการเอาคืนที่แสบสันเอาการ ส่วนจะเป็นยังไงนั้นต้องหาชมเอาเอง
นอกจาก Kurt Russell ที่เท่กินขาดแล้วยังมีดาราหน้าเก่าอย่าง Lee Van Cleef ในบท ฮอว์ค ผู้ทำหน้าที่ดูแลป้องกันกำแพงไม่ให้ใครออกไปได้หรือเข้าก่อนได้รับอนุญาต ซึ่งบทบาทอาจไม่โดดเด่นอะไรเท่าไร จะมีช่วงต้นเรื่องนี่แหละที่รู้สึกเป็นลุงที่ไม่ธรรมดา หลอกล่อด้วยคำพูดจนแม้แต่พระเอกยังหลงกลไม่รู้ตัว ทั้งนี้บทบาทที่ขโมยซีนอยู่บ่อยครั้งคือ Ernest Borgnine ในบท เคบบี้ คนขับรถแท็กซี่ที่ให้การช่วยเหลือบ่อยครั้ง ซึ่งจังหวะที่โผล่ออกมาเหมือนรู้ใจนึกจะโผล่ก็โผล่ออกมาในช่วงวิกฤติ เป็นตัวละครที่เดาใจยากเหมือนเขียนมาพลิกสถานการณ์โดยเฉพาะ
พอดูไปดูมาเหมือนหนังตลกที่ค่อนข้างร้ายกาจ มีโทนดาร์คมืดหม่นตามประสาอาชญากรครองเมือง หาความดีความชอบธรรมไม่ได้สักอย่าง จะมีแต่หัวรุนแรงชอบใช้กำลังเป็นส่วนใหญ่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเจริญที่ถดถอยลง มีแต่ความป่าเถื่อนปลาใหญ่กินปลาเล็กให้ผู้มีอำนาจเท่านั้นที่อยู่รอด ถ้าพูดเรื่องความสมจริงต้องให้เต็มเพราะไม่ว่าจะฉากหรือองค์ประกอบต่างๆก็ล้วนแสดงถึงความเสื่อมโทรม จากเมืองน่าอยู่กลายเป็นพื้นที่กักบริเวณที่เต็มไปด้วยอาชญากรทำผิดกฎหมาย เป็นคุกขนาดใหญ่ที่ไม่มีระเบียบบังคับปฏิบัตินอกจากห้ามออกเมื่อเข้าไปแล้ว เป็นโลกอิสระเสรีแต่เต็มไปด้วยความรุนแรงและเห็นแก่ตัว
Escape from New York จี้เส้นตรงที่ต่อให้สร้างคุกที่กว้างหรือใหญ่โตมากแค่ไหนก็ไม่อาจควบคุมคนได้ทุกที่และภัยร้ายที่พยายามผลักออกห่างก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดขึ้นใกล้ตัว ดังที่ประธานาธิบดีโดนผู้ก่อการร้ายยึดเครื่องบินจนต้องหลบหนีอย่างไม่ทันตัว แต่การหนีไปเพียงลำพังไม่ได้ไปแค่ตัวเปล่าเพราะติดของสำคัญบางอย่างเอาไว้กับตัว ซึ่งการใช้งานคนมีฝีมืออย่างสเนคไม่ใช่เพราะเก่งกาจสามารถเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการนำจุดเด่นที่เหมือนกันเข้าหาสิ่งที่เหมือนกัน สังเกตว่าพอเข้าไปในเมืองที่มีแต่อาชญากรจะไม่เป็นเป้าสายตาในทันที ในทางกลับกันเป็นสังคมที่ไม่สนว่าใครคือใครหรือเป็นยังไงจะทำอะไรก็ทำไม่สนใครว่าเพราะไม่มีกฎหมายบังคับ
การชิงตัวประธานาธิบดีคือเป้าหมายที่สำคัญ แต่ที่สำคัญกว่ามากคือข้อมูลชิ้นสำคัญที่อยู่กับประธานาธิบดี ไม่ใครสนใจว่าประธานาธิบดีจะอยู่หรือตายหรือถูกทำอะไรเพราะถึงยังไงตำแหน่งเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ ทว่าข้อมูลไม่อาจแทนกันได้เพราะเป็นสิ่งสำคัญแก่ประเทศชาติ ซึ่งนั้นนำไปสู่ตอนจบที่สื่อนัยยะความสำคัญระหว่างคนที่มีตำแหน่งสูงส่งกับข้อมูลที่ต้องเผยแพร่ตามเวลาโดยไม่อาจอ้างว่ากำลังเสี่ยงภัยอยู่ในแดนคนชั่วจนต้องเลื่อนกำหนดการ อนึ่งเหมือนเป็นความลับว่าสาเหตุเกิดขึ้นเพราะข้างนอกกำแพงทั้งที่ไม่น่าเกิดขึ้น นอกจากนี้คนที่ช่วยเหลือก็ไม่ใช่คนดีแล้วทำไมถึงมีสิทธิ์รับไถ่โทษได้ ถ้ามองแต่เปลือกเหมือนกลับตัวกลับใจเสี่ยงตายเข้าช่วย แต่เนื้อในบีบบังคับให้ทำงาน
ถ้าจะดูคงไม่บอกว่าคือแนวแอ็คชั่นหรือไซไฟอะไรเท่าไรนัก จะประมาณว่าผสมผสานทั้งสองอย่างแล้วทำให้ดูสมจริงตลอดเวลา จะไม่มีการยิงหรือสู้กันสักเท่าไรแถมพระเอกของเราไม่ได้เก่งกาจจนไม่มีใครสู้ได้และพลาดอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งที่รอดหรือฝ่าอุปสรรคมาได้ก็เพราะดวงล้วนๆ ซึ่งผิดกับเนื้อเรื่องที่มีการกล่าวขานถึงตำนานของสเนคจนเป็นที่เลื่องลื่อไม่มีใครไม่รู้จัก แน่นอนว่าถ้าชื่อเสียงโด่งดังย่อมต้องมีฝีมือทักษะที่ไม่ธรรมดา แต่ก็จริงอยู่ครึ่งๆเพราะสังเกตดูแล้วมาจากวีรกรรมที่ก่อเอาไว้มากมาย เรื่องฝีมือพอมีอยู่บ้างแต่ถึงกับระดับพระกาฬไม่มีใครสู้ได้ ส่วนเรื่องไซไฟนั้นจะอิงเอาตามโลกอนาคตปี 1997 ยังไม่มีอะไรที่ทันสมัยนอกจากระบบระเบียบสังคมกับบ้านเมืองที่ผุฟังตามที่เห็นในหนัง
Escape from New York เป็นหนังที่ให้อารมณ์สนุกแบบนิ่งๆไม่หวือหวาเรื่องแอ็คชั่นที่ต้องบุกน้ำลุยไฟเข้าช่วยประธานาธิบดีอย่างเอาเป็นเอาตาย จะมาในลักษณะเรียบง่ายค่อยเป็นค่อยไปตามหาแหล่งข้อมูลแล้วชิงออกไปเงียบๆ แน่นอนว่าเกาะที่เสมือนคุกเต็มไปด้วยเหล่าอาชญากรมากมายไม่ปล่อยให้หนีไปง่ายๆ จะต้องหนีลูกเดียวเพราะต้องแข่งกับเวลาที่เหลือก่อนจะตายด้วยระเบิด ช่วงไคล์แม็กซ์ทำได้ลุ้นและมันส์พอสมควรแม้จะหนีกันอย่างเดียว แต่อย่าลืมว่าไม่ใช่หนีเฉยๆเพราะนี่คือหนีตาย น่าจะถูกใจคอหนังคุมโทนคุมบรรยากาศที่ทุนน้อยแต่ดูไปได้ไกลกว่าที่เห็น ถือเป็นหนังที่สนุกเพราะการเล่าเรื่อง ตัวละคร และพล็อตเรื่องจริงๆนะ
อีกอย่างที่ฉบับทั่วไปไม่เห็นในฉบับเต็มคือฉากเปิดเรื่องเกี่ยวกับสเนคก่อนจะถูกจับ จะเป็นเรื่องราวของเขาและเพื่อนกำลังปล้นธนาคารก่อนหลบหนีคนของทางการที่ตามตัวเจอ แต่สุดท้ายหนีไม่ทันเพราะเห็นแก่เพื่อนที่ถูกยิงจึงไม่ทิ้งหนีไปไหนแล้วยอมจำนนในที่สุด เสียดายที่ไม่มีฉากนี้ให้เห็นเพราะตัดออกไปเพื่อจะได้ไม่ขัดแย้งที่ว่าสเนคคืออาญากรที่ถูกหมายหัวสมควรจับเข้าคุก แต่ใครจะไปรู้ว่าเป็นคนรักพวกพ้องที่สามารถหนีไปได้คนเดียว ฉะนั้นจะเศร้าไปหน่อยถ้าเริ่มเรื่องกันแบบนี้ สู้ให้ปรากฏตัวตอนถูกจับแล้วยังดูมีราศีมากกว่า