Mars Attacks! (1996)
สงครามวันเกาโลก
Director: Tim Burton
Genres: Comedy | Sci-Fi
Grade: C+
การจะชอบเรื่องนี้ได้ต้องทำตัวให้เพี้ยนกันสักหน่อยเพื่อจะได้เข้าถึงความไม่สมประกอบที่เดี๋ยวมากเดี๋ยวน้อยเหมือนกับว่าอะไรที่ควรจะมีตั้งใจให้หายไปซะดื้อๆหรือเป็นผลมาจากเรื่องก่อนของ Tim Burton ที่ทำ Ed Wood (1994) หนังชีวประวัติผู้กำกับ Edward D. Wood Jr. ที่ถูกกล่าวขานบ่อยครั้งในฐานะคนทำหนังห่วยในอดีต ซึ่งเรื่องนี้มีสภาพเข้าข่ายหนังห่วย(ไม่ขนาดนั้น)หรือหนังคัลท์ที่มีคนชอบแและเกลียดพอกัน โดยหนึ่งในแรงบันดาลใจมาจาก Plan 9 from Outer Space (1959) ทำให้สภาพของหนังดูเป็นลูกผสมมีความเกรดบีอยู่พอสมควร
แม้จะมีคนชอบและไม่ชอบปะปนกันไปแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของ Tim Burton ในแง่งานศิลป์ที่ลงตัว เชื่อว่าต้องมีคนชอบในจุดนี้มากกว่าเกลียดเพราะทำให้หนังมีอารมณ์มากขึ้นและความน่ากลัวในเชิงผิดเพี้ยนรูปลักษณ์ สำหรับเรื่องนี้จะเป็นสไตล์เอเลี่ยนบุกโลกที่มาจากดาวอังคารเพื่อล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ แม้พล็อตเรื่องจะไม่มีคำว่าสดใหม่เกี่ยวกับเอเลี่ยนบุกโลกที่มายึดครองแต่ที่น่าสนใจคือตัวเอเลี่ยนที่น่าเกลียดและน่าฉงนในเวลาเดียวกัน ด้วยลักษณะหน้าตาไม่เป็นมิตรเหมือนคนผอมแห้งจนหนังหน้าติดกระดูกตามด้วยสมองที่ไร้กระโหลกคุมหัวอันใหญ่โตและเด่นชัด ด้วยหน้าตาอันแสนน่ากลัวก็ไม่อาจบดบังความตลกร้ายที่แฝงมากับเอเลี่ยนพวกนี้ด้วยพฤติกรรมแปลกๆ กระนั้นที่พิสดารไปกว่าคือเสียงสนทนา"แว้ด แว้ด แว้ด"ของเอเลี่ยนที่ฟังไม่รู้เรื่องเพราะไม่มีคำบรรยาย
เอเลี่ยนเป็นของเด่นที่ชวนติดตาด้วยอาวุธปืนยิงลำแสงที่ใครโดนจะเหลือแต่กระดูกสีแดงหรือสีเขียวเพราะเป็นช่วงหนังฉายใกล้วันคริสต์มาส(แต่ใน Beetlejuice (1988) ก็มีสีกระดูกแดงกับเขียวเหมือนกัน) ถึงจะเช่นนั้นกับเอเลี่ยนที่มีเอกลักษณ์แปลกประหลาดก็ไม่เท่าตัวละครในเรื่องนี้ที่หาความปกติกันได้น้อยเต็มทีจะต้องมีประเภทหลุดโลกมากน้อยก็ว่ากันไป ซึ่งยิ่งดูก็ยิ่งแสดงความพิลึกพิลั่นออกมาจนไม่คิดว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เป็นความรู้สึกเกรดบีอย่างมากในตัวละคร จะคงเว้นให้กับ CGI ตัวเอเลี่ยนที่ทำดีกว่าที่คิด(แต่เดิมจะใช้หุ่นทำ Stop-Motion ถ้าไม่มาติดเรื่องทุนไม่อำนวย)
แต่ใครจะไปคิดว่าดั้งเดิม Tim Burton ขอทุน Warner Bros $260 ล้าน เพื่อทำหนังเรื่องนี้แบบจัดเต็มความเป็นเกรดบี กระนั้นด้วยพล็อตและค่อนเซ็ปต์ที่ไม่น่าไว้ใจทำให้ได้งบไป $60 ล้านแทน ทำเอาต้องแก้ไขอะไรหลายอย่างกันยาว โดยเฉพาะเรื่องบทที่วางแผนให้ออกมายิ่งใหญ่ด้วยฉากเอเลี่ยนถล่มตามประเทศต่างๆเหมือนทั้งโลกโดนโจมตีหรือจะนักแสดงที่ใส่ดาราไม่ต่ำกว่า 60 คนชนิดที่ว่าจำยังไงก็ไม่หมด ซึ่งสุดท้ายแก้กันไปมาก็เหลือเท่าที่เห็นในหนังทำให้หลายอย่างหายไปไม่ยิ่งใหญ่อย่างที่คิด
ถึงจะถูกตัดหั่นไปมากจากทุนที่ไม่เพียงพอก็ใช่จะน้อยเรื่องดารานักแสดงที่มีทั้ง Jack Nicholson ในบทประธานาธิบดีเจมส์ เดล ผู้มีอำนาจแต่การตัดสินใจสุดหน่อมแน้มและอีกบทเป็น อาร์ท แลนด์ เจ้าของบ่อนคาสิโนในลาสเวกัสที่มุ่งเอาแต่หาเงิน โลภมากขนาดยานชาวอังคารมาถล่มยังไม่สนใจเอาแต่พูดเรื่องธุรกิจอย่างเดียว , Glenn Close ท่านผู้หญิงมาร์ชา เดล ไม่สนอะไรนอกจากตกแต่งทำเนียบขาว , Annette Bening ในบทบาร์บาร่า แลนด์ ภรรยาของอาร์ทที่เชื่อคนง่ายเหลือเกิน , Pierce Brosnan ในบท ศจ. โดนัลด์ เคสเลอร์ นักวิทยาศาสตร์มองโลกแง่ดีขนาดที่ว่ามีคนโดนยิงเหลือแต่กระดูกยังมองเป็นความเข้าใจผิดผูกมิตรกันได้
ยังไม่หมดเพราะจะได้เห็น Natalie Portman ตอนเด็กมารับบทแทฟฟี่ ลูกสาวท่านประธานาธิบดี , Lukas Haas เป็น ริชชี่ นอร์ริส เด็กหนุ่มที่ไม่เป็นอย่างที่ครอบครัวต้องการ , Sylvia Sidney เป็นคุณย่าของริชชี่ที่แก่เลอะเลือนในบางครั้ง , Jack Black เป็น บิลลี่ เกลน นอร์ริส หรือพี่ชายของริชชี่ที่เข้ากองทัพทหารให้ครอบครัวประทับใจ , Tom Jones นักร้องชื่อดังแสดงเป็นตัวเอง , Sarah Jessica Parker เป็น นาตาลี เลค พิธีกรสาวที่เริ่มตกหลุมรัก ศจ. โดนัลด์ เพราะความมองโลกในแง่ดีของเขา , Michael J. Fox เป็น เจสัน สโตน แฟนของนาตาลีและเป็นนักข่าวที่ทำงานอย่างจริงจัง , Lisa Marie ในบทชาวดาวอังคารที่ปลอมตัวมาในร่างหญิงสาวที่ว่ากันว่าการแสดงบทนี้ไม่มีการกระพริบตาสักครั้งเดียว ทำเอาหลอนกันเลยทีเดียว และอีกมากมายต้องไปหากันเอาเองในหนังเพราะแค่นี้ก็นับกันไม่ไหวแล้ว
Mars Attacks! คือหนังเกรดเอที่พยายามทำตัวเองให้เป็นเกรดบีด้วยการเล่าเรื่องแบบง่ายๆเบาสมองแต่ตัวละครผิดเพี้ยนมีความสุดโต้งที่จะทำอะไรก็ทำตามใจฉัน แบ่งแยกขาวดำกันอย่างชัดเจน มีความหลงยุคด้วยองค์ประกอบยุค 50s-60s มีเสน่ห์ในแบบเฉพาะทางจึงรู้สึกชอบเรื่องนี้เพราะมีหลายอย่างที่ดูไม่เข้าท่าและคัลท์เอามากๆ ที่ชื่นชมคือการเสียดสีผู้นำประเทศที่ขัดแย้งกับภาวะตำแหน่งจนนำไปสู่วิกฤติที่ไม่อาจแก้ปัญหาได้เอง(เพราะทำไม่เป็น) ซึ่งจะมีฉากคนใหญ่คนโตนั่งรวมกันในห้องใหญ่เหมือนกับ Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb (1964) แต่อารมณ์คนละเรื่องคนละทาง
บางทีนี่อาจเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เกิดมาเพื่อทดสอบความคัลท์ ซึ่งแต่เดิมทีผู้กำกับ Tim Burton ได้สร้างความแปลกประหลาดเอาไว้มากมายแต่มักเป็นองค์ประกอบงานศิลป์ สำหรับเรื่องนี้จะเห็นได้ถึงการเล่าเรื่องด้วยทักษะศิลป์แปลกๆ อะไรที่ควรเน้นย้ำจะโดนมองข้าม อะไรที่ไม่สำคัญจะถูกแทนที่ ดังนั้นถ้าจะบ่นว่าเบื่อหรือไม่สนุกอย่างที่คิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องจากหนังแปลกมาก่อนอยู่แล้ว สำหรับใครที่ดูครั้งแรกจะรู้สึกทะแม่งๆว่าตกลงจะสนุกหรือไม่สนุกกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ฝากเอาไว้คือถ้ายอมรับความร้ายกาจในความแปลกจะสนุกกว่าที่คาดแม้พล็อตจะโล่งหลวมมากแค่ไหนก็ตาม