Beneath the Planet of the Apes (1970)
ผจญภัยพิภพวานร
Director: Ted Post
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: B-
จะบอกว่าภาคแรกใน Planet of the Apes (1968) ทำเอาไว้ดีมากแล้ว วิพากย์วิจารณ์สังคมมนุษย์กับวานรได้ดุเด็ดเผ็ดมันส์ แม้จะเรื่อยๆหนักไปกับบทสนทนามากมายก็ตาม กระนั้นแล้วด้วยคำวิจารณ์กับรายได้ที่ดีย่อมสร้างภาคต่อ โดยภาคนี้ยังคงคอนเซ้ปต์เนื้อหาสาระเกี่ยวกับสังคมเช่นเดิม แต่เรื่องมนุษย์ที่ประหนึ่งสัตว์ล้างโลกจะกลายเป็นประเด็นที่ตกไปเพราะกล่าวมามากพอแล้วในภาคแรก เช่นกันกับอีกหลายประเด็นจะไม่เอ่ยถึงให้มากความเพื่อความสดใหม่ ซึ่งประเด็นหลักของเนื้อหาภาคนี้คือ"ความรุนแรงกับสันติ"
สำหรับการเล่าเรื่องจะเร็วกว่าภาคแรกพอสมควร มาไม่ทันไรก็ย้ำตอนจบในภาคแรกให้ตกใจกันอีกรอบก่อนที่ เทย์เลอร์ (Charlton Heston) กับ โนวา (Linda Harrison) จะเดินทางอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง แต่การเดินทางนี้ทำให้เทย์เลอร์พบบางสิ่งที่ผิดปกติและเขาได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ถัดมาอีกเหตุการณ์เมื่อโลกในอดีตส่ง เบรนท์ (James Franciscus) นักบินอวกาศมาตามหาเทย์เลอร์ที่หายสาบสูญไป ทำให้เขาพบโนวาที่มีจี้สร้อยคอของเทย์เลอร์แต่ไม่อาจสื่อสารเข้าใจกันได้ จึงต้องตามสืบเองถึงรู้ว่าที่นี้ถูกปกครองโดยเหล่าวานรที่อาฆาตมนุษย์
เป็นไปไม่ได้ที่วานรจะยอมรับมนุษย์เพราะการสั่งสอนที่ฝั่งรากลึกเป็นวัฒนธรรม อะไรคือคุณงามความดีอะไรคือสิ่งชั่วร้าย สิ่งเหล่านี้แบ่งแยกกันตั้งแต่บรรพบุรุษโดยวานรคือจุดสูงสุด ขณะที่มนุษย์เป็นสัตว์ต้อยต่ำไร้สติปัญญา ไม่สามารถสื่อสารพูดได้ ไม่มีอาณานิคม ดำรงด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด จากข้อผิดพลาดในภาคที่แล้วทำให้กลุ่มวานรเริ่มหวาดกลัวมนุษย์ที่แม้จะมีแค่คนเดียวที่พูดได้และกระทำด้วยสติปัญญา ดังนั้นเพื่อไม่ให้ส่งผลร้ายต่ออนาคตจึงตัดสินใจเดินทางล่ามนุษย์แบบเดียวกัน โดยเป้าหมายคือดินแดนต้องห้ามที่ซึ่งเทย์เลอร์จากมา
สังเกตอยู่อย่างเกี่ยวกับฝั่งวานรที่ไม่เชื่อความล้ำสมัยของวิทยาศาสตร์ เช่น การบินหรือการเดินทางข้ามเวลา เพราะถ้าเชื่อจริงตามที่เทย์เลอร์บอกในภาคแรกคงไม่เดินทางไปถึงดินแดนต้องห้ามเนื่องจากเป็นจุดยานตกแค่นั้น สำหรับตัวเทย์เลอร์เองเชื่อว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ทรงภูมิปัญญามากที่สุดในฐานะมนุษย์ กระนั้นฝั่งวานรเห็นแตกต่างออกไปและเลือกเผชิญความจริงเพราะเกรงกลัวต่ออนาคตที่อาจถูกมนุษย์ช่วงชิง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงนำไปสู่การเกิดสงคราม
การเกิดสงครามใช่เป็นสิ่งที่กลุ่มวานรจะชอบไปซะทั้งหมดเพราะเป็นหนทางแห่งการทำลายขัดต่อกลุ่มวานรวิทยาศาสตร์ที่ต้องการสันติภาพ แม้นี่เป็นสิ่งที่ตัวหนังจะสื่อก็เป็นเพียงผ่านๆเท่านั้นในกลุ่มวานร ไม่ได้รู้สึกขัดแย้งหรือถกเถียงอย่างภาคแรกระหว่างมนุษย์กับวานรที่เสียดสีไปมาจนสนุกปาก กระนั้นประเด็นนี้ก็ไม่ปล่อยเปล่าแต่ไปพูดถึงในตอนท้ายหลังจากเบรนท์หลบหนีวานรจนไปพบทางใต้ดินที่นำไปสู่ที่อยู่อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งในดินแดนต้องห้าม ที่สำคัญเป็นศัตรูกับเหล่าวานรอีกด้วย
จะว่าน่าสงสาร Charlton Heston ที่อุตส่าห์เป็นพระเอกในภาคแรกต้องลุยอะไรหลายอย่างถึงรอดจากวานรมาได้ ขณะที่ภาคนี้แสดงน้อยพอสมควรแค่ต้นเรืองและท้ายเรื่อง บทที่เหลือไปตกอยู่ที่ James Franciscus ซึ่งน่าเสียดายที่บทบาทไม่ค่อยโดดเด่นหรือชวนให้คิดตามสักเท่าไร จะเน้นการหลบหนีทำให้ได้แอ็คชั่นที่สนุกกว่าภาคแรกแน่นอน คนที่บทเยอะกว่าเดิมคือ Linda Harrison แต่บทในที่นี่ไม่มีประโยคพูดเช่นเคย มีเพียงท่าทางแสดงอารมณ์ตามประสามนุษย์ที่ยังไม่เจริญปัญญา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงสวยเซ็กซี่นัก(ฮา)
Beneath the Planet of the Apes ได้บรรยากาศเล่าเรื่องแบบภาคแรกที่เน้นทุนต่ำแสดงถึงอารยธรรมแบบเก่า ไม่มีเทคโนโลยีหรือสิ่งล้ำสมัย เน้นไปทางวิพากย์วิจารณ์สังคมระหว่างมนุษย์กับวานร ซึ่งภาคนี้จะคงเนื้อหาสาระประเด็นนี้ไว้อยู่บ้างแต่ให้เป็นรองเรื่องความรุนแรงกับสันติ เพิ่มฉากแอ็คชั่นให้น่าติดตามมากขึ้นพร้อมกับขยายเรื่องราวให้ไปไกลกว่าเดิมกับเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีใครรู้จักในดินแดนต้องห้าม แน่นอนว่ามีอะไรหลายอย่างน่าติดตามมากขึ้นจริงแต่รู้สึกขาดความน่าเชื่อถือไปพอควร
Pierre Boulle ผู้เขียนนิยายดั้งเดิมได้เขียนเรื่องราวหลังจากภาคแรก 14 ปี เทย์เลอร์ไปอยู่ท่ามกลางการต่อสู่ระหว่างเหล่าวานรและมนุษย์ผู้ต้องการจะมีอิสระ แต่พล็อตนี้ไม่ได้นำมาใช้แต่อย่างใดแต่มีการหยิบโครงมาอยู่บ้างในส่วนการก่อสงคราม สำหรับเนื้อหาภาคนี้วานรต้องการล้างผลาญมนุษย์ที่อาจเหลือรอด ขณะเดียวกันเผ่าพันธุ์ปริศนาในดินแดนต้องห้ามต้องการกำจัดวานรแต่ไม่มีวิธีต่อสู้ อาวุธที่มีอยู่คือหัวระเบิดนิวเคลียร์ที่คงเหลือจากโลกในอดีต(ประเด็นนี้ต่อยอดคร่าวๆได้ว่าโลกในอดีตทำสงครามกันจนตายหมดและวานรมายึดครองโลก)
แรกๆก็เริ่มเห็นปมประเด็นหลายอย่างและพร้อมจะรับฟังสิ่งเหล่านั้น แต่พอดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆเริ่มแอ็คชั่นมากขึ้นพร้อมกับเนื้อหาที่บางลง จนมาตอนท้ายเริ่มรู้สึกเหมือนแถเรื่องราวให้ซับซ้อนจากเดิมเพิ่มความน่าตื่นเต้น กระทั่งไคล์แม็กซ์สำคัญนำไปสู่ตอนจบที่หลายคนหน้าเหวอเพราะไม่เชื่อว่าจะจบปาหมอนกันขนาดนี้ แต่เชื่อไหมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนจบเป็นข้อพิสูจน์ถึงความรุนแรงที่ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนล้วนหนีไม่พ้นเพราะไม่เข้าใจคำว่าสันติอย่างถ่องแท้ ส่วนที่เข้าใจก็หนีไม่พ้นผลพวงจากความรุนแรงถูกลูกหลงตามกันไป
นอกจากประเด็นเรื่องเผ่าพันธุ์ก็ดี ความรุนแรงกับสันติก็ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ตัวหนังบอกมาตลอดแต่ไม่พูดถึงสักคำคือเรื่องเพศ ในที่นี่คือตัวโนวาหรือเพศหญิง ในเรื่องไม่มีบทบาทที่โดดเด่นแต่มักเป็นตัวกลางอยู่เสมอจากการโดนเพศชายที่เหนือกว่าควบคุม รวมไปถึงหลายเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงแต่จะโดนมีเอี่ยวไปด้วย เป็นตัวละครที่น่าสงสารทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาเลย
ปิดท้ายด้วยตอนจบอีกแบบที่ไม่ได้ใช้ในหนัง คือ เทย์เลอร์ เบรนท์ และโนวา หนีออกมาจากเมืองใต้ดินก่อนที่ทุกอย่างจะระบิด(ไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์) หลังจากนั้นกลับไปเมืองวานรที่ไร้ซึ่งผู้นำเพื่อไปหา คอร์นีเลียส (David Watson) และ ซีร่า (Kim Hunter) สองผัวเมียนักวิทยาศาสตร์วานรที่เคยช่วยชีวิตและสนับสนุนเทย์เลอร์ในภาคแรกและเบรนท์ในภาคนี้ หลังจากนั้นช่วยกันปลดปล่อยมนุษย์ทุกคนจากกรงพร้อมกับสร้างอารยธรรมใหม่ที่อยู่ร่วมกันได้ ผ่านไปหลายร้อยปีครูสอนหนังสือได้สอนเด็กที่เป็นมนุษย์กับวานรให้อยู่ด้วยกันอย่างสามัคคีปรองดอง เป็นตอนจบที่มีความสุขแสดงถึงสันติภาพระหว่างมนุษย์กับวานร แต่ไม่ได้จบแค่นี้เพราะมีต่ออีกหน่อยเมื่อมีกอริลลาหลุดมาจากใต้ดินและยิงนกพิราบตายถึงตัดจบ เป็นการบอกว่าเรื่องราวทั้งหมดยังไม่สิ้นสุด กระนั้นตอนจบในหนังกับที่ไม่ได้ใช้คนละเรื่องคนอารมณ์กันเลย ที่เห็นในหนังออกจากเกินคาดด้วยซ้ำไป