Top Secret! (1984)
ลับสุดบ๊องส์
Director: Jim Abrahams,David Zucker,Jerry Zucker
Genres: Comedy | Crime | Music
Grade: A+
นี่ก็ไม่รู้จะเอาฮาไปไหน ยอมทั้งกายและใจ คือมันตลกได้สุดทางจริงๆและไม่มีการเล่นมุขซ้ำเลยสักครั้ง ไม่แปลกใจเลยถ้าเรื่องนี้จะมีผู้กำกับถึง 3 คนที่ต่างแบ่งไอเดียเสริมมุขนี้นั้นหน่อยจนมีแต่ความสดใหม่ และที่โดนใจจริงๆคือมุขมีความคิดสร้างสันใช้ลูกเล่นเกี่ยวกับมุมกล้องบ้างล่ะ เล่นย้อนเวลาแต่ตัวละครเดินหน้าเพื่อให้เห็นความแปลกแต่จริง หรือจะต่อยตีในน้ำโดยทำให้เหมือนเมืองใต้น้ำในยุคคาวบอย(อันนี้ความคิดล้ำมาก) โดยรวมๆแล้วไม่ฮาก็ไม่รู้จะว่ายังไง
ตัวหนังยึดเส้นเรื่องสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับสงคราม(เอ้า) แต่เป็นเรื่องของ นิค ริเวอร์ส (Val Kilmer) ชายหนุ่มสุด Very Hot ในยุคนั้นที่นอกจากจะหล่อสาวกรี๊ดสลบแล้วยังเป็นนักร้องเสียงดี ด้วยความที่เป็นคนดังมากเหลือเกินจึงถูกนาซีเชิญตัวไปแสดง แน่นอนว่านิคต้องรับข้อเสนอนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และต้องรับหน้าที่เป็นสายลับสืบหาข้อมูลในกองทัพนาซีเพื่อทำลายแผนการยึดครองโลกให้สำเร็จ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าไปสนพล็อตเรื่องเพราะซีเรียสแค่ไหนก็แพ้มุขที่จริงจัง
ไม่รู้ว่า Val Kilmer ไปทำอะไรมาหรือใครบอกแบบคาเรคเตอร์ให้เป็นนี้ เพราะหล่อกระชากใจไม่เข้ากับหนังตลกล้อเลียนเลยสักนิด แต่พอดูไปสักระยะเริ่มเห็นแววตลกหน้าตาย ไม่สิ..หน้าหล่อ นอกจากความหล่อที่เข้ากับหนังตลกอย่างเหลือเชื่อก็คือท่วงท่าลีลาที่ไม่ใช่แค่เสียงดีแต่ต้องเต้นได้อีกด้วย กลายเป็นหนังตลกที่ผสมผสานแนวมิวสิควีดีโอที่มีเพลงเพราะฟังเพลิน(และแอบใส่มุขเบาๆเป็นของแถม) ตัวอย่างเพลง เช่น How silly can you get,Straighten the Rug,Spend This Night With Me และอีกหลายเพลงที่แต่งเองชงเองใช้ในหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ
Airplane! (1980) น่าจะรู้จักกันดีในฐานะหนังตลกล้อเลียนที่เกิดก่อนด้วยฝีมือผู้กำกับ Jim Abrahams,David Zucker และ Jerry Zucker ฉะนั้นกับใครเคยดูมาก่อนย่อมรับประกันเสียงหัวเราะอย่างแน่นอน ส่วนที่ว่าอะไรทำให้มั่นใจต้องชอบต้องหัวเราะเห็นจะเป็นมุขที่เน้นความผิดปกติให้ดูปกติ ส่วนใหญ่เป็นมุขการกระทำที่ดูตอนไหนก็เข้าใจได้หมด เว้นแต่ว่าไม่รู้ไปแซวหนังเรื่องไหนบ้าง ซึ่งหลักๆคือ Beach Party (1963) และ The Blue Lagoon (1980)
Top Secret! ผสมผสานหลายอย่างไม่ว่าจะสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นเรื่องหลัก การแซว Elvis Presley ที่ยึดคาเรคเตอร์ความหล่อเหลามาใช้กับพระเอกให้ถึงความคลั่งไคล้และความดังของเขา อีกทั้งตัวหนังเต็มไปด้วยกลิ่นอาย rock 'n' roll ด้วยเพลงและค่านิยมในยุคสมัยนั้น แต่ใครจะคิดว่าสงครามโลกครั้ง 1945 กับตำนานคนดังแห่งยุค 50s-60s ที่เกิดหลังจะประจบในเนื้อเรื่องเดียวกันได้ นับว่าเป็นตลกเบาสมองมีเพลงให้ฟังเพลิดเพลิน ดูจบแล้วหายเครียดเป็นปลิดทิ้ง