Sudden Impact (1983)
แม็กนั่ม.44
Director: Clint Eastwood
Genres: Action | Crime | Thriller
Grade: B+
สาเหตุที่ภาคนี้ไม่ใช้ชื่อไทยว่า"มือปราบปืนโหด 4"ทั้งที่ตั้งชื่อเหมือนกันมาตลอดทั้งสามภาคเพราะถูกใช้ไปแล้วใน The Gauntlet (1977) ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวกับในเนื้อเรื่องหรือตัวละครแต่อย่างใด ส่วนที่ตั้งไปนั้นเกิดจากความเข้าใจผิดเพราะเห็นว่า Clint Eastwood รับบทเป็นตำรวจ และยังสร้างหลังจาก The Enforcer (1976) หรือ"มือปราบปืนโหด 3"
ด้วยความที่อะไรๆหลายอย่างคล้ายกันประกอบกับสร้างในปีถัดมาจึงเกาะกระแสเป็นภาคต่อ กระทั่งเรื่องนี้ที่เป็นภาคต่อที่แท้จริงถือกำเนิดและไม่สามารถใช้ชื่อซ้ำได้จึงต้องเป็น"แม็กนั่ม.44"เพราะอย่างน้อยก็มีเลข 4 แม้จะเป็นสี่เบิ้ลก็ตาม(อีกนัยหนึ่งเป็นการพูดถึงปืนกระบอกคู่ใจแม็กนั่ม.44 อันเป็นเอกลักษณ์ของพระเอกในเรื่องที่คราวนี้มีอะไรที่พิเศษกว่าภาคก่อนๆ อีกทั้งยังสื่อว่าการเป็นเลข 44 ก็เพื่อบอกว่าสี่ตัวแรกคือเรื่องที่เข้าใจผิด ส่วนสี่ตัวหลังคือเรื่องนี้ แต่ประเด็นอย่างหลังจะจริงเท็จแค่ไหนเป็นความคิดส่วนตัวที่เดาเอาล้วนๆ)
เช่นเคยกับ แฮร์รี่ คัลลาแฮน (Clint Eastwood) ตำรวจที่ซื่อตรงต่อกฎหมายและจัดการเหล่าอาญากรทุกรายโดยไม่มีไม้อ่อนกับปืนแม็กนั่ม.44 คู่ใจที่ยิงสนั่นลั่นทุ่ง โดยคราวนี้มาพร้อมกับคดีใหม่ที่แตกต่างกว่าทุกครั้ง เนื่องจากเขาต้องเจอกับ เจนนิเฟอร์ สเปนเซอร์ (Sondra Locke) หญิงสาวเลือดโหดที่อัดแน่นไปด้วยการแก้แค้นที่ตามฆ่าทุกคนที่เคยทำเธอเจ็บปวดแสนสาหัส แต่เรื่องเป็นมายังไงนั้นต้องรีบสืบก่อนที่ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่านี้
I Spit on Your Grave (1978) คือความรู้สึกแรกที่นึกขึ้นได้เกี่ยวกับพล็อตเนื้อหาภาคนี้ที่ว่าด้วยการแก้แค้นของผู้หญิงคนหนึ่งเพราะถูกย่ำยีทางเพศจนไม่อาจกู้หน้ากู้ตากลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้ แต่ถ้าพูดถึงความโหดหรือความน่าหดหู่อย่าได้ไปเปรียบเทียบเพราะมาคนละสไตล์ สำหรับเรื่องนั้นขอยกให้เป็นหนังที่รุนแรงที่สุดเรื่องหนึ่งไปเลย ส่วนเรื่องนี้จะผสานการสืบสวนที่ดูน่าลึกลับมากกว่าจะมาเป็นสยองขวัญล้างแค้นสุดโหด และแน่นอนว่าประเด็นย่อมหนีไม่พ้นการคุกคามทางเพศ ซึ่งเพศหญิงมักถูกมองเป็นเพศที่อ่อนแอและถูกกระทำด้วยความรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากประเด็นเรื่องคุกคามทางเพศที่เป็นหัวใจหลักเกี่ยวกับตัวละครหญิงก็ยังไม่พ้นเรื่องของตำรวจที่ยังเสียดสีเช่นเคย โดยประเด็นเหล่านี้จะพูดถึงในช่วงแรกของหนังอย่างเรื่องกระบวนการยุติธรรมของศาลที่กลายเป็นดาบสองคมให้คนร้ายหลุดรอดได้ ทำให้เป็นประเด็นในตอนจบที่ถามหาความยุติธรรมว่าการปล่อยให้ศาลตัดสินอาจไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นข้อตกลงอย่างลับๆหลังศาลที่สุดท้ายแล้วคนร้ายก็ลอยนวลและคนที่รับเคราะห์นั้นต้องเจ็บปวดทรมานเพราะไม่อาจจัดการคนชั่วได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดศาลเตี้ยจัดการคนชั่วที่กฎหมายไม่อาจเอาผิดได้
กระบวนการยุติธรรมต้องผ่านขั้นตอนอย่างเป็นระบบเพื่อข้อเท็จที่อาจจะถูกหรือเท็จให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างนานและคนร้ายตัวจริงไหวตัวได้ทันก่อนจะถูกจับ สำหรับแฮรี่ที่ยึดมั่นในกฎหมายแต่หลายครั้งที่ทำนอกกรอบเพราะคนร้ายไม่เคยสน ทว่าความเอาจริงเอาจังเพื่อจัดการคนร้ายอย่างอยู่หมัดเป็นข้อเสียที่มักมากับการสูญเสียอยู่บ่อยครั้ง เหตุนี้เองจึงไม่เป็นที่ประทับใจในผลงานแฮรี่มากนักแม้จะชื่นชมมากแค่ไหนก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายไปเท่านั้น ดังนั้นภาคนี้จึงถูกให้แปลกแยกออกไป โดยให้ไปทำงานต่างถิ่นเพื่อสืบสวนหาความจริงเกี่ยวกับคดีด้วยตัวเอง
สิ่งแรกที่เห็นคือการทำงานของแฮรี่ที่เสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยอ่อนข้อให้กับคนร้าย จึงไม่แปลกที่จะมีศัตรูพยายามตามล้างแค้นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้มีฉากแอ็คชั่นอยู่ไม่น้อยที่ไม่ใช่แค่ไล่ล่าผู้ร้าย แต่ยังต้องหลบหลีกเอาตัวรอดจากผู้ร้ายอีกด้วย ฉะนั้นภาคนี้จะมีความเป็นแอ็คชั่นมากพอสมควร บางจังหวะถูกทำให้ดูร่วมสมัยกับยุคนั้น อย่างตอนจบที่เป็นเรื่องแปลกในหนังชุดนี้ที่สร้างอารมณ์ตื่นเต้นและแฝงความเท่ของตัวละครด้วยจังหวะดนตรีและการจัดฉาก ซึ่งไม่แปลกถ้าจะกำกับโดย Clint Eastwood ที่พยายามหาแนวทางใหม่ๆให้กับสไตล์เนื้อเรื่อง
Sudden Impact เล่าเรื่องสนุกกว่าทุกภาค แต่มีข้อเสียตรงที่ความสนุกไม่ได้เกิดจากประเด็นสังคมหรือหน้าที่การงานของตำรวจเท่าไรนัก อีกทั้งเป็นข้อสงสัยสำหรับบางคนที่เหมือนยังจัดการประเด็นปัญหาบางอย่างที่พูดถึงในช่วงแรกได้ไม่หมด ทำให้ตอนจบกลายเป็นปัญหาที่จับได้ไม่หมดและเลือกคลี่คลายเฉพาะอย่างเท่านั้นในเรื่องของการแก้แค้น แม้จะอ่อนเรื่องการคลี่คลายปมรวมถึงการสืบสวนที่เห็นชัดว่ามีความบังเอิญหลายอย่าง แต่ไม่ปฏิเสธที่ยังน่าติดตามและไม่น่าเบื่อแบบภาคก่อนๆเพราะเน้นความตื่นเต้น จะเสียดายแค่ยังเก็บปมไม่หมดและจุดเด่นเรื่องการพลิกแพลงตัวละครไม่ค่อยเหนือความคาดหมายกว่าทุกที
