The Enforcer (1976) มือปราบปืนโหด 3

The Enforcer (1976)
มือปราบปืนโหด 3
Director: James Fargo
Genres: Action | Crime | Thriller
Grade: B

สองภาคก่อนทำไว้ดีก็ต้องมีต่อ แต่เหมือนภาคนี้เล่าเรื่องเฉพาะตัวไปหน่อย พอดูแบบไม่คิดอะไรจะรู้สึกเอื่อยช้าไม่เข้มข้นแบบภาคก่อนๆ กระนั้นพอจับจุดประเด็นของหนังจะรู้สึกมีอะไรให้พูดถึงมากกว่าเสียอีก ยิ่งเรื่องของ แฮร์รี่ คัลลาแฮน (Clint Eastwood) ตำรวจสายสืบจอมลุยจะเห็นว่ามีการพูดถึงความสัมพันธ์การทำงานของตำรวจ ทั้งเรื่องคู่หูใหม่ที่เป็นตำรวจหญิง เคท มัวร์ (Tyne Daly) เรื่องการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องในแง่นโยบาย และการแทรกแซงของหน่วยงานรัฐเพื่อหาช่องทางปิดคดีอย่างรวดเร็ว


ด้านตัวร้ายจะไม่พูดถึงมากและบทค่อนข้างตายตัวเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้านที่ได้ขโมยอาวุธสงครามเพื่อใช้ก่อกวนเรียกร้องความเป็นธรรม มุมมองเสียดสีคงไม่พ้นเรื่องอิสระภาพบางอย่างที่พยายามเรียกร้องรัฐบาล แต่บางทีไม่เห็นหรือไม่เป็นผลที่ชัดเจนจึงใช้กำลังด้วยความรุนแรงเพื่อเร่งตอบโจทย์อย่างรวดเร็วก่อนจะกลายเป็นอาชญากรรมในที่สุด น่าเสียดายที่บทบาทตัวร้ายไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักเพราะเน้นไปกับการตามสืบของแฮรี่ที่เริ่มจากศูนย์

ด้วยความเป็นหนังสืบสวนจึงค่อนข้างช้าแม้จะยาวเพียงชั่วโมงครึ่งก็ตามทีทำให้ไม่เหมาะกับคนที่อยากได้บทสรุปเข้าใจง่ายแล้วไปต่ออย่างรวดเร็ว เว้นกับคนที่อยากได้เนื้อหาสาระแบบละเอียดจะรู้สึกสนุกกับความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง แม้จะไม่ถึงกับเชือดเฉือนหรือคมคายแต่ดูแล้วได้คำตอบที่ครบถ้วนกับเสียดสีอย่างตรงไปตรงมา(ยิ่งฉากจบจะเสียดสีหนักมากจึงกระบวนการทำงานของรัฐบาลที่เชื่องช้าไม่ทันแฮรี่จนเหมือนมุขตลกกลั่นแกล้งตัวร้าย) และกับคนที่ชอบการแสดงของ Clint Eastwood ยังคงคาแรกเตอร์เดิมเอาไว้ที่นอกจากจะเป็นตำรวจดุแล้วยังเพิ่มสีสันมุขเข้าไปด้วย


แฮรี่ในภาคนี้ถูกวางปมเรื่องคู่หูเช่นเคยเพราะไม่ว่าจะจับคู่กับใครก็ล้วนอายุไม่ยืดทำให้เป็นความอึดอัดใจเวลาต้องลุยงานเป็นทีมกับใครสักคน ยิ่งนิสัยเฉพาะตัวที่ชอบลุยงานไม่นั่งรอทำให้กลายเป็นด่านแรกที่ต้องเจอกับสิ่งต่างๆอยู่เสมอ โอกาสที่คู่หูจะถูกลูกลงย่อมเกิดได้ง่ายเพราะสไตล์การทำงานมักเป็นคนนำอยู่เสมอ ฉะนั้นคู่หูที่เสมือนคนตามจึงมีความเสี่ยงในฐานะคนรู้น้อยเพราะไม่มีประสบการณ์เช่นเดียวกับแฮรี่ ถึงตัวหนังจะไม่พูดถึงความผิดพลาดของแฮรี่ แต่ในใจรู้สึกผิดและไม่อาจบอกว่าคือความผิดของเขาทั้งหมดเพราะการจับคนร้ายไม่อาจรอได้

สีสันเรื่องคู่หูเป็นช่วงที่รู้สึกเบาขึ้นจากที่ซีเรียสกันมาตลอดทั้งเรื่อง นั่นเพราะแฮรี่ต้องทำตัวเป็นพี่เลี้ยงให้กับเคทหรือตำรวจใหม่ที่ย้ายมาอยู่กับเขาเพียงเพราะตอนสัมภาษณ์ไปดูถูกเรื่องการทำงานที่ไร้ประสบการณ์แต่จะทำหน้าที่นี้ได้อย่างไร สุดท้ายแฮรี่ต้องรับเคราะห์ได้เป็นคู่หูเสียเอง เมื่อเทียบความแตกต่างระหว่างแฮรี่กับเคทจะเห็นถึงด้านตรงข้ามที่ดูออกทันทีว่าใครคือเด็กใหม่(สังเกตจากความช้าเรื่องการทำงานภาคสนามที่ต้องตามหลังแฮรี่อยู่เสมอ) เป็นการสอนถึงความแตกต่างระหว่างงานนั่งโต๊ะกับปฏิบัติที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน


ประเด็นที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับคู่หูแฮรี่คือเรื่องความแตกต่างทางเพศ มีการหยิบยกเพศหญิงให้มีบทบาทหน้าที่เทียบเท่าฝ่ายชายที่มักลงภาคสนามจับคนร้าย ขณะที่ฝ่ายหญิงทำงานเอกสารเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่อยากแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเพศไหนก็ทำหน้าที่ของตำรวจได้เหมือนกันหมด แม้จะเป็นเรื่องที่เห็นด้วยแต่การคัดสรรควรเลือกบุคลากรที่พร้อมและมีทักษะเอาตัวรอดทันต่อสังคมภายนอก สังเกตว่าแฮรี่แม้จะเป็นคนตรงไปตรงมาก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะต้องทำตามขั้นตอนและต้องเอาตัวรอดจากการซิกแซกเพื่อหาแหล่งข้อมูลที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือ

The Enforcer อาจจะไม่เข้มข้นเท่า  Dirty Harry (1971) หรือมีฉากแอ็คชั่นกับเนื้อหาดีๆแบบ  Magnum Force (1973) แต่ภาคนี้ยังคงคอนเซ็ปต์เสียดสีประเด็นสังคมที่คมคายเช่นเคย อีกทั้งยังมีโทนที่เบากว่าเพราะมีตัวละครหญิงมาเป็นคู่หูทำให้สถานการณ์ซีเรียสมีมุขตลกสอดแทรกให้ผ่อนคลาย(แน่นอนว่ามุขดังกล่าวไม่ทำให้ทิศทางของหนังเปลี่ยนไป) ถือเป็นความแตกต่างที่ไม่เคยเห็นในภาคก่อนๆราวกับพ่อลูกที่ทิ้งช่วงห่างกันด้วยอายุประสบการณ์


นอกจากนี้ในส่วนของฉากแอ็คชั่นที่อาจน้อย(ส่วนใหญ่จะคุยกับสืบสวน)ทำได้น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะฉากไล่จับคนร้ายที่ต้องวิ่งตั้งแต่บนถนนไปถึงหลังคาบ้านและกระโดดข้ามไปมาก่อนจะลงกลับมาที่ถนน เป็นการแสดงถึงลำดับภาพตัดต่อที่รวดเร็วและความน่าสนใจอยู่ที่คู่หูของแฮรี่ที่พยายามไล่ตามให้ทันแต่ไปไม่ถึงสักที กลายเป็นความน่ารักปนจริงจังที่ Tyne Daly แสดงออกมาให้เราเห็นว่าเธอคือเด็กใหม่ที่ทุ่มเทแม้จะจะอ่อนประสบการณ์ก็ตาม นับว่ายังเป็นภาคต่อที่ไม่ผิดหวังและสนุกกับการสืบสวนหาความจริงที่อาจจะน่าเบื่ออยู่บ้างแต่นี่แหละงานของตำรวจ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)