บุญชู 2 น้องใหม่ (2532)
Director: บัณฑิต ฤทธิ์ถกล
Genres: Comedy
Grade: A+
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
บางก็บอกว่าภาคนี้ดีกว่าภาคแรก บางก็ว่าดีที่สุดในหลายๆภาค แต่โดยส่วนตัวคิดว่าจะภาคไหนก็ล้วนดีกันทั้งหมด ถ้าจะคัดความโดดเด่นของภาคนี้คงไม่พ้นการเล่าเรื่องได้กระชับกว่าภาคแรกรวมถึงการยิงมุขที่นับว่าเด็ดพอตัว แต่อะไรนั้นตัวหนังยังคงคอนเซ็ปต์เดิมในการเล่าเรื่องสไตล์ธรรมดาไม่หวือหวาเกินกว่าจะเหมาะสำหรับเฉพาะกลุ่มจนเรียกได้ว่าดูสบายอารมณ์ไม่เครียดจนเกินไปและไม่แฮปปี้จนเกินตัว หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเนื้อหาต่างล้วนสะท้อนถึงสังคมและปรุงแต่งด้วยข้อคิดสอนคนมิใช่น้อย จากหนก่อนเรื่องราวหนุ่มเลือดสุพรรณนามว่าบุญชู (สันติสุข พรหมศิริ) จากบ้านมากรุงเทพฯเพื่อมาสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายกลับพลาดไม่ติดดังฝันจนแม่บุญล้อม (จุรี โอศิริ) แม่ของบุญชูต้องไหว้วานคนที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญมาช่วย ซึ่งก็คือคุณแจ่มใส (ท่าน ส. อาสนจินดา) บรรณารักษ์ห้องสมุดอดีตมหาเก่ามาช่วยอบรมขัดเกลาเสริมความรู้ให้สอบติดสู้กับคนอื่นได้ โดยแม่บุญล้อมก็ตั้งเป้าไว้สูงว่าถ้าสอบไม่ติดอีกต้องกลับสุพรรณทำไร่ทำนากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ดังนั้นมีรึที่บุญชูจะยอมแพ้ถูกทำลายความฝันที่อยากจะเข้าเรียนเกษตร โดยงานนี้ก็ได้กำลังใจอย่างล้นเปี่ยมจากเพื่อนก๊วนคราวก่อนที่ตอนนี้ได้เรียนมหาวิทยาลัยกันไปก่อนแล้วจากการภาคแรกที่ต่างคนต่างมาสอบแข่งขันเข้าคณะโน้นมหาวิทยาลัยนี้ตามความชอบของตัวเองแล้วสอบติด(น่าเสียดายบุญชูที่สอบไม่ติดแต่ก็ไม่มีใครสมหวังเสมอไป คนเราต้องล้มกันบ้างเพื่อเรียนรู้ในการลุก) ในที่นี้จะมีหยอย (เกียรติ กิจเจริญ) อารมณ์ดีตลอดเวลาเป็นคนเสียงนำเสมอ , คำมูล (กฤษณ์ ศุกระมงคล) เจ้าแห่งปลากระป๋อง , นรา (อรุณ ภาวิไล) เรื่องการเมืองยกให้คนนี้ , ไวยากรณ์ (วัชระ ปานเอี่ยม) คนนี้ได้แพทย์แต่ไม่รักษาคนเพราะได้สัตว์แพทย์ , เฉื่อย (นฤพนธ์ ไชยยศ) ใครคุยกับคนนี้รับรองยาว ไม่ใช่เรื่องยาวพูดเยอะนะ แต่การออกเสียงแต่ละทีนี้ย๊าวยาว และขาดไม่ได้สำหรับบุญชูคือโมลี (จินตหรา สุขพัฒน์) ได้ต่อทางด้านวารสารเพื่อไปช่วยมานี (ญาณี จงวิสุทธิ์) พี่สาวทำงานในอนาคต
สำหรับพล็อตเรื่องยังคงเช่นเคยเกี่ยวกับบุญชูที่ต้องมุ่งมั่นเตรียมตัวอ่านหนังสือเพื่อสอบเอนทรานซ์ ซึ่งนี่ก็เป็นรอบที่สองหลังจากผิดหวังไปพักใหญ่แต่ก็ใจสู้ไม่ท้อถอยง่ายๆจึงมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไปโดยมีเหล่าเพื่อนเป็นกำลังใจ แม้พล็อตจะไม่ค่อยแตกต่างจากเดิมนักเท่าไรและยังเดินเรื่องราวแบบซ้ำๆแต่สิ่งที่เห็นคือความเปลี่ยนแปลงที่ลงตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพื่อปรับโทนของหนังให้ดูเข้ากับมิติหรือจะเรียกว่าภาคแรกคือการทดลองลองของคงไม่ผิด สิ่งที่สังเกตได้คือนักแสดงที่เปลี่ยนไปอย่างเช่นเฉื่อยที่รับเล่นโดย นฤพนธ์ ไชยยศ จากที่เดิมทีในภาคแรกคือ โรม อิศรา ที่พอปรับเปลี่ยนก็รู้สึกลงตัวมากขึ้น กระนั้นในส่วนที่คิดว่าปรับได้เหมาะสมกับบทและเข้ากับคาแรกเตอร์ตัวละครมากที่สุดเห็นจะเป็นบทของบุญช่วยที่แรกเดิมเล่นโดย อานิรุตต์ ศิริจรรยา พอมาภาคนี้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงเป็น สุเทพ ประยูรพิทักษ์ ที่ออกลีลาใส่มุขได้ง่ายกว่าทั้งยังมีแววเจ้าชู้อีกด้วย ดังนั้นจึงช่วยเพิ่มมิติที่หลากหลายกว่าของเดิมที่ค่อนข้างจริงจังไปบ้างให้ออกมาผ่อนคลายเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังตัวละครเพิ่มเข้ามาอีกเด่นๆคือบุญมา (ธงชัย ประสงค์สันติ) ที่ไม่ได้แตกต่างจากบุญชูมากนักที่ออกจากบ้านนอกมากรุงเทพฯเพียงแค่มาหางานเอาเงินใช้ตามประสาบ้านนอกเข้ากรุงที่มองว่าภายในตัวเมืองน่าจะมีแหล่งทำกินที่ง่ายกว่าการทำมาไร่ทำนาที่แสนลำบาก
ในที่นี่ถ้าจะกล่าวถึงบุญมาคงไม่พ้นเรื่องทัศนคติของคนที่ยังไม่รู้ว่าความจริงมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้นเสมอไปเพราะในสังคมแม้จะไม่มีลำดับชั้นวรรณะก็จริงแต่สิ่งที่สะท้อนออกมาได้ก็คือความสามารถ ตำแหน่ง วุฒิ และความรู้ สิ่งเหล่านี้แสดงออกถึงข้อแตกต่างระหว่างบุคคลว่าใครคือจุดเด่นในด้านนั้นๆ ในการสมัครงานจำเป็นต้องอาศัยความรู้ซึ่งในทางนี้บุญมาได้ใช้ควบคู่ไปกับความสามารถที่ตัวเองมีเพื่อสอบเข้าทำงานในมหาวิทยาลัยจนในที่สุดก็เข้าได้ หรือจะบุญชูที่มีความรู้แข่งขันกันสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่ก็ยังสอบไม่ได้เพราะขาดความสามารถพอจะทำให้คะแนนออกมาโดดเด่น สำหรับทุกคนแล้วล้วนมีความรู้นอกจากความสามารถที่ต้องอาศัยทักษะและเทคนิคเช่นเดียวกับโจทย์แก้สมการที่ต่อให้เข้าใจมีองค์ความรู้มากแค่ไหนแต่เมื่อขาดข้อสังเกตในการวิเคราะห์ก็ไม่อาจตีโจทย์แตกได้แม้จะทำสูตรเป็นก็ตาม
เข้าเรื่องของบุญมาที่ตั้งใจมาสมัครงานในกรุงเทพซึ่งเหมือนราบรื่นไปด้วยดีทว่าไม่เป็นเช่นนั้นเพราะจุดนี้หนังได้สะท้อนบางอย่างออกมาในช่วงท้ายเรื่องด้วยการกระทำที่ใครหลายคนคาดไม่ถึงซึ่งก็คือการขโมยเงิน ทำไมคนที่ท่าทางยิ้มแย้มเป็นกันเองอย่างบุญมาถึงกลายเป็นหัวขโมยไปได้ คำตอบจะอยู่ที่ตอนท้ายเรื่องว่าสุดท้ายแล้วไม่มีใครหนีกรรมของตัวเองพ้นสุดท้ายต้องมาใช้สิ่งที่ตัวเองก่อแม้จะมีเหตุผลว่าที่ทำไปเพราะจำเป็นมากแค่ไหนต่อให้อ้างว่าทางบ้านนั้นจนลำบากก็ตาม คนที่เสียใจภายหลังและร่ำไห้ที่สุดคือพ่อแม่ของบุญมานี่แหละที่อยากมาเจอหน้าลูกแต่ไม่เป็นเช่นนั้นที่พบว่าต้องมาอยู่ในตารางที่มีเหล็กเป็นกั้นระหว่างกัน
สำหรับตัวบุญมาใช่ว่าอยากจะทำเช่นนั้นเว้นกับว่าถูกชักจูงอีกทีด้วยการยุยงส่งเสริมที่เห็นได้ว่าไม่ใช่แค่บุญมาที่อยากจะขโมยเงินเท่านั้น กับตัวบุญมาทำไปเพื่อช่วยเหลือครอบครัวทว่ากับคนที่มีส่วนร่วมกับคิดเอาไปใช้เพื่อความสำราญของตัวเอง ท้ายนี้ใครคือคนที่ผิดใครคือคนที่ถูกแต่เมื่อขโมยของคนอื่นมาก็ผิดด้วยกันทั้งนั้น กระนั้นคนทำผิดใช่ว่าจะไม่มีคนเข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไรอย่างบุญมาที่ทำเพื่อพ่อกับแม่ ในตอนที่เข้าคุกสิ่งที่น่าสลดใจคือฉากพ่อแม่ของบุญมามาเจอลูกติดคุกที่แสดงออกถึงความเศร้าและน่าหดหู่ใจ แม้กลุ่มบุญชูจะเห็นและเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจของบุญมาก็ตามจนอยากจะช่วยแต่ก็ช่วยไม่ได้นัก สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือการให้กำลังใจและซื้อของมาให้กินเผื่ออย่างน้อยความสัมพันระหว่างบุญมากับคนอื่นๆยังปรับความเข้าใจกันได้และเป็นเพื่อนในที่สุด
เรื่องราวของบุญมาคือจุดไคล์แม็กซ์ที่เรียกความเศร้าได้อย่างลงตัวในแบบหัวอกคนเป็นพ่อแม่และลูกในสภาพที่ไม่น่าพบเจอ ในมุมมองนั้นอาจคือจุดที่หดหู่ของเรื่องแต่ใช่ว่าตลอดทั้งเรื่องจะต้องนำเสนอแค่ด้านนี้เท่านั้นเพราะถึงยังไงเรื่องความตลกต้องมาก่อนอยู่เสมอโดยเฉพาะการเล่นมุขแบบบ้านๆไม่ถึงกับฮาท้องแข็งแค่เอาเป็นน้ำจิ้มที่ชิมกี่ครั้งไม่มีเบื่อ แน่นอนว่าเมื่อมีการปรับเปลี่ยนนักแสดงให้ลงตัวมากขึ้นแล้วยังรวมถึงเป็นการเปิดตัวละครใหม่เข้ามาซึ่งก็คือประพันธ์ (เกรียงไกร อมาตยกุล) เพื่อนใหม่ของโมลี เป็นชาวระยองที่สำเนียงก็เหน่อไม่แพ้บุญชู นอกจากนี้ยังรวมถึงการเล่นมุขอิ่มรับประทานกับการโต้วาทีกับฉากสั่งอาหาร โดยทีเด็ดอยู่ที่ปอง (สมเกียรติ คุณานิธิพงษ์) ที่ได้รับสมญานามเรื่องปากสุนัขจนหยอยก็เล่นไปกับเขาด้วยจนกลายเป็นคู่เด็ดไปทุกภาคที่เจอกันตลอดเวลา แม้ในภาคแรกตัวละครอย่างปองยังไม่สำแดงฤทธิ์อะไรมากแต่พอมาภาคหลังๆจะรู้ว่านี้คือฉากที่ใครหลายคนอยากพบมากที่สุดที่ไม่ใช่แค่ฮาตลกขบขันเท่านั้นเนื่องจากเป็นความมันส์ที่ต่อล้อต่อเถียงชนิดใครยอมใครไม่ได้ ยิ่งเรื่องของเมนูจัดว่าเด็ดทุกครั้งที่สั่งอาหารแต่ละทีล้วนพิสดารเกินคาดเดา (อนึ่งยอมรับมุขที่เล่นกันในฉากนี้ถือเป็นไฮไลต์ที่เด็ดที่สุดในเรื่องเพราะแสดงออกถึงการไม่ยอมใครโดยเฉพาะคู่อริระหว่างหยอยกับปองที่พยายามกัดกันตลอดรวมถึงการแสดงที่ไม่ยอมใครอีกด้วย ถ้าให้เลือกว่ามุขไหนน่าดูต้องมุขหยอยกับปองเถียงกัน อีกคนก็สั่งเมนูแปลกเหลือกินในขณะที่อีกคนก็เสิร์ฟอาหารชวนเหวอตามคำขอ) และที่สำคัญคือยังมีตัวละครที่นับว่าคุ้นหน้าในบทอาจารย์ของโมลีคือ ดร.เสรี วงศ์มณฑา ในเรื่องไม่ได้มาปล่อยมุขอะไรแต่มาทำหน้าที่กัดนักศึกษาชวนให้เหวอนิดๆตามประสาอาจารย์ของมหาวิทยาลัยที่ต้องการนักศึกษาที่มีความรับผิดชอบ อันที่จริงจะในหนังหรือตัวจริงนี่แทบจะไม่แตกต่างกันเลยนะ
ที่ขาดไม่ได้คือความเป็นคนซื่อของบุญชูที่ทำให้อมยิ้มตามประสาคนบ้านนอกบ้านนา เช่นวันแห่งความรักหรือที่เรียกๆกันว่าวันวาเลนไทน์ ทีแรกบุญชูไม่เข้าใจหรอกว่ามีวันแบบนี้อยู่ซึ่งก็รู้มาได้เพราะอยู่ในกรุงเทพฯนี่แหละ จะว่าแล้วในเมืองมักมีอะไรหลายอย่างที่มากมายไม่แพ้ผู้คนที่ไม่ซ้ำหน้ากันรวมถึงนิสัยที่ปะปนกันจนน่าจะเป็นสถานที่รวมสารพัดอย่างจากทุกมุมมาอัดไว้ที่เดียวกัน เว้นแต่จะไม่มีความเป็นบ้านนอกเท่านั้นที่หาไม่ได้ง่ายในกรุงเทพฯเพราะเต็มไปด้วยความเจริญบ้านช่องตึกระฟ้าตลอดจนรถยนต์ที่วิ่งไม่รู้จักพักเหนื่อยแต่ละวี่วัน ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยชนชาติต่างๆที่เข้ามาเที่ยวเปิดหูเปิดตาจนเราเองก็รับวัฒนธรรมในส่วนนั้นมาไม่มากก็น้อย แน่นอนว่าวาเลนไทน์คือหนึ่งในนั้นที่กล่าวว่าเป็นวันสารภาพรักที่ใครๆก็ยื่นดอกกุหลาบสีแดงให้เป็นสัญลักษณ์การบอกรักแก่คนรัก พอได้ความเท่านั้นเองบุญชูผู้เข้าใจว่าคือวันแห่งความรักก็อยากจะลองบอกรักกับใครสักคนที่หาใช่ใครอื่นเลยแต่เป็นโมลีผู้หญิงในดวงใจซึ่งบุญชูยังแอบหลงรักไม่เปลี่ยนแปลง
โดยส่วนตัวสิ่งที่น่าประทับใจอย่างหนึ่งคือตัวหนังไม่พยายามตามเนื้อผ้าแบบลงสูตรง่ายๆเช่นเดียวกับภาคแรกที่ลุ้นเหนื่อยมาตั้งนานแต่บุญชูไม่ติดเอนทรานซ์กลายเป็นลงเอยด้วยความผิดหวังก่อนจะพลิกตลบให้กำลังใจปิดท้ายสอนให้รู้จักก้าวเดินต่อไปแม้จะแพ้ก็ตามกระนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าได้ท้อถอยต่อความฝัน ทำนองเดียวกันความรักของบุญชูไม่ได้มาง่ายๆที่ยื่นดอกกุลาบให้แล้วอีกฝ่ายจะหลงรักตามเพราะสำหรับโมลีแล้วเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น จัดว่าเด็ดพอตัวกับฉากนี้ที่ให้เราเห็นมุมมองที่แตกต่างออกไปในทางที่สมหวังและผิดหวัง ในทางที่สมหวังคงไม่ต้องพูดอะไรมากแต่กับในทางที่ผิดหวังจะมีอยู่สองประเภทคือยังไม่ถึงเวลากับไม่ใช่ การที่บุญชูยื่นดอกกุหลาบให้โมลีด้วยความจริงใจไม่ใช่ว่าโมลีไม่รู้สึกเพียงแค่ต้องการให้ความสัมพันเป็นไปอย่างทะนุถนอมค่อยเป็นค่อยไปโดยให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นหลักซึ่งความสัมพันธ์นี้คือมิตรภาพแก่กัน ดังคำที่โมลีกล่าวกับบุญชูว่าจะรับเอาไว้ในฐานะมิตรภาพแต่ถ้าเป็นกรณีอื่นจะไม่ขอรับ อันที่จริงเรื่องของเรื่องเสมือนเป็นการลองใจไปในตัวด้วย ไม่ใช่โมลีไม่ไว้ใจอะไรแค่อยากจะรู้ว่ายังมีใจรักมากน้อยแค่ไหนแบบเดียวกับการทำตามความฝันที่ยังสู้ต่อไปแล้วประสาอะไรกับเรื่องรักจะทดสอบบ้างไม่ได้ ดังนั้นนี้อาจยังไม่ใช่เวลาของบุญชูที่จะสมหวังทว่ามันก็ยังมีหวังใช่ไหมล่ะ
นอกจากนี้ยังมีมุมของการผิดหวังในความรักหลังจากบุญชูไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการจากโมลีก็สังเกตเห็นว่ามิตรภาพสำคัญกว่าความรักที่อาจเกิดเพียงชั่วครู่ก็ได้แต่เสียยังไงทั้งสองยังคงยึดมั่นว่าจะไม่ล้ำเส้นต่อกันโดยเฉพาะบุญชูที่ยังตั้งหน้าตั้งตารอโมลีต่อไป มาต่อหลังผิดหวังที่ขอคงไว้ในฐานะมิตรภาพก็ใช่ว่าจะต้องมีความรู้สึกผิดหวังเพราะความผิดหวังนี่แหละที่ทำให้ตระหนักได้ว่าระหว่างความรักที่เกิดมาเป็นแฟนกันจะยืนนานได้เท่าความสัมพันธ์เท่าการเป็นเพื่อนกันก่อนหรือไม่ สำหรับความหมายของเพื่อนก็อย่างที่รู้คือตัดกันไม่ขาดแม้จะหายกันไกลแค่ไหนแต่สุดท้ายกลับมาเป็นเพื่อนช่วยเหลือกันเสมอแบบที่คนเป็นเพื่อนเท่านั้นที่รู้กัน
สิ่งที่ชอบก็คือเพื่อนไม่ทิ้งกันแม้จะลำบากและไร้สาระไปบ้างก็ใช่ว่าจะพาเครียดซะทีเดียวเพราะถึงยังไงสุดท้ายต้องได้รอยยิ้มกลับมาแน่นอน เช่นฉากโมลีไปค่ายอาสาที่ต่างจังหวัดแต่ไม่วายยังอุตส่าห์มีก๊วนบุญชูตามหลังมาด้วยจนเรื่องราวดูชุลมุนไปบ้างก็ยังเข้าใจว่าเพื่อนไม่ทิ้งกันพร้อมช่วยเหลือกันคืออะไร ก็อย่างที่รู้กันดีว่าประเด็นสอดแทรกเกี่ยวกับเพื่อนคือสิ่งที่หนังบุญชูถนัดอย่างมากในการใส่จุดนี้เข้ามา เห็นได้จากภาคแรกที่เริ่มจากคนไม่รู้จักกันเลยแต่มาพบกันได้เนื่องจากจะมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละจนพอเจอกันบ่อยขึ้นก็ยิ่งรู้จักมากขึ้นและก็กลายเป็นเพื่อนร่วมก๊วนป่วนฮาในที่สุด ที่ชอบคือต่างคนไม่ได้อยู่ด้วยกันโดยเฉพาะสถานที่เรียน แล้วทำไมยังเจอกันได้บ่อยนักราวกับเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆก็มิแปลก อันนี้ก็ไม่ทราบแน่ชัดเพราะต่างคนก็มาจาก ม.เกษตรศาสตร์บ้าง ม.รามคำแหงบ้าง ม.ธรรมศาสตร์บ้าง คือต่างคนต่างมีจุดยืนของตัวเองจนความแตกต่างนี้ถ้าว่ากันโดยทั่วไปคงแยกย้ายไปตามความฝันของตัวเอง ทว่ากับบุญชูได้ใช้หลัก"เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก"ได้อย่างแนบเนียนพร้อมกับเปรียบเทียบด้วยว่าจะเพื่อนเก่าหรือไม่ก็ยังคงเป็นเพื่อนแม้จะห่างคนละทิศแค่ไหนสุดท้ายก็มาหากันได้ ยอมรับเลยว่าเรื่องเพื่อนคือสาระดีๆที่ได้จากบุญชูไม่เปลี่ยนแปลง
ภาคแรกมักดีที่สุดแต่กับบุญชู 2 น้องใหม่ กลับรู้สึกว่ามีหลายอย่างดีขึ้นโดยเฉพาะการปรับเนื้อเรื่องให้กระชับขึ้น ชัดเจนขึ้น และมีการปล่อยมุขที่โดนตลอดรายการจนคิดว่าความน่าเบื่อที่เกิดขึ้นในภาคแรกที่เล่ายาวไปหน่อยเกือบ 2 ชั่วโมงดูน่าติดตามกว่า(แต่ก็ไม่วายยาวเกือบ 2 ชั่วโมงเท่ากันอยู่ดี) อีกทั้งยังแฝงสาระข้อคิดได้ไม่เปลี่ยนแปลงและดูจะมากขึ้นอีกด้วยโดยเฉพาะประเด็นเรื่องความรักกับลัก ในความรักการจะรักใครสักคนนั้นไม่ผิดถ้าไม่เป็นการฝืนใจใครแต่จะดีกว่าไหมถ้ารักเกิดจากต่างฝ่ายต่างเข้าหาและพร้อมใจกันจริงๆ เมื่อเปรียบเทียบก็คงไม่พ้นบุญชูที่หลงรักโมลีแต่กับโมลีไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์ว่าต้องตอบตกลงเลยทันที
ประการแรกคือการทดสอบลองใจ ประการที่สองคืออยากให้ตั้งหน้าตั้งตาสนใจเอาการเรียนไปก่อนจะไม่ได้เสมือนจุดเทียนกลางสายฝนดังคำที่ว่าน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าได้ บางทีโมลีเองไม่ได้เจตนาร้ายอะไรแค่อยากให้รอไปก่อนมากกว่าซึ่งระหว่างนี้ก็เป็นเพื่อนที่ดีกันได้ และอีกประการสุดท้ายคือในตอนนี้บุญชูยังไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยและต้องสอบเข้าคณะในฝันให้ได้เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่มีหน้ามีตากลับบ้านไปสู้หน้าแม่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือให้บุญชูตั้งใจอ่านหนังสือให้มากกว่ามานั่งรำเพ้อถึงกันเพราะถ้าตกลงปลงใจอาจกลายเป็นทำลายสมาธิได้ อีกประเด็นคือลักที่ไม่เหมือนรักเพราะทำด้วยการขโมยอย่างที่บุญมาทำ แม้เจ้าตัวทำไปเพราะทางครอบครัวลำบากยากจนไม่นึกจะขโมยเพราะความอยากได้เพียงคนเดียวก็ถือว่าผิดที่เลือกหนทางที่ไม่ดีกับตัวเอง การแก้ปัญหาไม่ได้เกิดที่เอาปัญหามาเพิ่มแต่ต้องเอาปัญหามาแก้ ในจุดนี้ไม่มีคำว่ารู้สึกดีเพราะตัวหนังจริงจังกับการนำเสนอถึงผู้ที่ผิดย่อมควรเสียใจกับสิ่งที่ได้รับต่อให้น้ำตาไหลนองก็ตาม แต่เชื่อว่าคนที่ผิดถ้าสำนึกได้ทุกอย่างต้องดีขึ้นแน่นอน
สุดท้ายนี้แม้ตัวหนังจะสนุกมากแค่ไหนข้อคิดชวนสาระมากเพียงใดก็รู้สึกมีเกินๆไปบ้างนิดนึงเพียงนิดเดียวจริงๆ แต่ถ้าไม่คิดอะไรมากจะเป็นอีกเรื่องที่สมบูรณ์แบบไปเลยสำหรับใครหลายคนที่เฝ้ามองหาหนังอารมณ์ดีสุดแสนจะ Feel Good เรื่องนี้ อีกอย่างกลิ่นอายคือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเรื่องนี้ที่มีส่วนผสมของความเป็นเมืองกรุงกับบ้านนอกที่เข้าหากันได้อย่างไม่เกินหน้าเกินตา ถ้าอยากจะรู้บรรยากาศสมัยนั้นการหยิบบุญชูมาดูรับประกันว่าได้เห็นแน่นอนว่าเมื่อก่อนสภาพเป็นยังไงบ้าง โดยเส่วนตัวสมัยก่อนน่าโอเคมากนะเพราะถึงจะวุ่นวายก็ไม่เท่ากับสมัยนี้ที่เริ่มจะวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันยิ่งความทันสมัยไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อก่อนสงบสุขกว่ามากจริงๆและความสัมพันธ์เข้าถึงกันได้ดีอีกด้วย อีกอย่างที่เกือบลืมมาตลอดคือภาคนี้บุญชูสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยในฝันให้ทายว่าสอบติดหรือไม่ ในฉากลุ้นว่าติดไม่ติดนี่แหละที่จัดว่าลุ้นจนตัวโก่งแบบไม่รู้จะบอกว่ายังไงแล้วยิ่งถ้าเจอกับตัวคงเป็นอะไรที่อยากจะกระโดดโลดเต้นรอบหมู่บ้านเลยทีเดียว สุดท้ายนี้อีกรอบบุญชู 2 น้องใหม่แนะนำไปเลยว่าต้องหามาดูเพราะเรื่องนี้ดีจริงตลกจริงไม่ฝืดมุขเป็นกันเองเข้าใจตั้งแต่เด็กจนคนแก่และข้อคิดดีๆเก็บไปคิดให้เพียบ