สยามยุทธ (2558)

สยามยุทธ (2558)
Director: ธนาวุฒิ เกสโร
Genres: Action
Grade: C

ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้เท่าไรเพราะด้วยกระแสตอบรับที่ค่อนข้างเงียบและมีปัญหาขึ้นศาลเกี่ยวกับค่าตัวนักแสดงที่ถูกเบี้ยวจากผู้กำกับทำให้อารมณ์ตอนรับชมเตรียมตัวที่จะส่ายหัวได้ตลอดเวลา แน่นอนว่าไม่ทันไรในตอนเปิดเรื่องก็พบข้อผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย นั้นคือการเล่าเรื่องที่ลำดับภาพได้น่าฉงนชวนงงอย่างถึงที่สุด แม้ว่าจะไม่ถึงกับต้องแสดงอาการเหวอประหลาดใจมากนักแต่ถ้าไม่ได้นั่งดูหรือลุกไปไหนอาจมีสับสนกันบ้างที่จู่ๆเปลี่ยนฉากเปลี่ยนเนื้อเรื่องกันอย่างสายฟ้าฟาด ด้วยภาพลักษณ์ตอนช่วงแรกของหนังไม่แตกต่างกับหนังไทยธรรมดาที่ยังต้องปรับปรุงการเล่าเรื่องให้เข้าใจมากกว่านี้ รวมถึงในส่วนของตัวละครที่จะมาก็มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งแค่ช่วงแรกๆของหนังก็ทำให้ทิศทางการรับชมก็เริ่มจะไม่สบอารมณ์ ความน่าติดตามก็ล้วนน้อยลงเรื่อยๆเมื่อเห็นข้อผิดพลาดเหล่านี้ก่อนจะมาสะดุดในส่วนของแอ็คชั่นที่เหมือนกับว่าการเล่าเรื่องค่อยว่ากันแต่แอ็คชั่นต้องขายความมันส์ให้ได้ และที่ไม่รู้จะฮาหรือมันส์ดีที่ใช้เทคนิคแบบในเรื่อง 300 (2006) ที่ฝ่าข้าศึกทีคนในมุมกล้องด้านข้างพร้อมกับซูมเข้าออกอย่างเป็นจังหวะพร้อมสโลโมชั่นไปในตัวอาจจะคุ้นฉากนี้กันอย่างดีแต่วิธีการสู้ได้ปรับเปลี่ยนจากใช้ดาบกับโล่มาเป็นการใช้มือเปล่าเข้าสู้ด้วยศิลปะมวยไทย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็รู้สึกได้เลยว่าจะต้องมีอะไรเด็ดๆซ่อนไว้บ้าง


ก่อนจะเข้าเรื่องราวอย่างเข้าใจเพราะคิดว่าหลายคนที่รับชมเรื่องนี้ในช่วงเริ่มต้นของหนังน่าจะออกอาการงงไปพักหนึ่งว่าตกลงเรื่องสยามยุทธมันเกิดในยุคสมัยใดแล้วเกี่ยวข้องยังไงกับประวัติศาสตร์ ตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้นในส่วนของช่วงแรกของหนังที่มีการตัดต่อได้ไวเกินไปและขาดความแม่นยำในการตีเนื้อเรื่องให้เข้าใจ จนเกิดคำถามว่านี่อิงจากวีรกรรมชุดใดในประวัติศาสตร์ไทย ด้วยความไม่ชัดเจนนี่เองกลายเป็นทั้งข้อดีข้อเสียเนื่องจากไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปและเป็นคสามสับสนว่าตกลงจะเอายังไงกันแน่ การเล่าเรื่องต้องกินเวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะตามพล็อตเรื่องได้ทันเนื่องจากความไวนี่แหละที่ไม่รู้จะครุ่นคิดยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กว่าจะเข้าเรื่องก็ตอนที่การตัดต่อภาพเริ่มลงตัวพร้อมกับทุกตัวละครมากันครบ ซึ่งเรื่องราวเกิดในช่วงที่คนไทยแย่งชิงความดีเด่นกันเองเพื่อกลายเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เรื่องราวได้โฟกัสมาที่เมื่องจันทบูรเป็นหลักเพราะเป็นยุคหลังสงครามกับพม่าหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยหัวเมืองต่างๆพยายามตั้งตนเป็นใหญ่หลังจากแผ่นดินแตกแยกแบ่งเป็นก๊ก จึงมีศึกเล็กศึกน้อยตลอดเวลาจากความแตกแยกความสามัคคีกันและแย่งชิงความเป็นใหญ่กันเอง ดังนั้นสยามยุทธจึงเสมือนการเล่าเรื่องระหว่างกลางความแตกแยกกับความแตกต่างที่ไม่ได้เกิดจากชาติอื่นยึดครองแต่เป็นชาติตนเองในสภาพต่างฝ่ายต่างหาประโยชน์ใส่ตัว ฉะนั้นแก่นของเรื่องคือต้องการจะสื่อความเป็นน้ำหนึ่งของคนไทย อยากให้มีความสามัคคี อยากให้เห็นความสำคัญของแผ่นดินชาติบ้านเมืองที่ตัวเองได้อยู่ได้กิน


เนื้อเรื่องคร่าวๆคือ ทัพ (ธันญ์ ธนากร) นักดนตรีพเนจรได้พบกับสังหารเข่นฆ่าชาวบ้านโดยฝีมือของขุนรามผู้ทะเยอทะยานหมายยึดครองแผ่นดินโดยป้ายความผิดให้แก่ขุนศึกที่แตกทัพมาให้กับสิน (กฤษฏ์ศิรวัชร แก้วมณีกานนท์)  ทัพเห็นความไม่เป็นธรรมและต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ชาวบ้านจึงเดินทางไปเมืองจันทบูร(หรืออีกชื่อคือจันทบุรี) ซึ่งเป็นที่พํานักของขุนรามหมื่นซ่อง (ธนายง ว่องตระกูล) ผู้อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมด ซึ่งพล็อตเรื่องก็มีประมาณเท่านี้และด้วยความที่สเกลไม่ได้ใหญ่โตอะไรเพราะเป็นเรื่องของกลุ่มคนน้อยกับหัวเมืองจึงไม่มีการเล่าในส่วนต่างๆว่าในเหตุการณ์เกิดอะไรขึ้นกับสยาม บ้านเมืองภายนอกทั่วสารทิศเป็นยังไง แม้แต่เรื่องของพม่าที่มายึดครองไม่ได้มีการกล่าวถึงใดๆ ฉะนั้นตลอดการเล่าเรื่องจะมีแค่เรื่องของกลุ่มทหารมือดีมากฝีมือที่รวมตัวกันกอบกู้เมืองจัทบูรคืน แม้จะไม่มีประเด็นอะไรมากมายสำหรับสยามยุทธแต่พอจะได้สิ่งที่ประวัติศาสตร์พร่ำสอนเสมอคือการรักชาติ แต่น่าเสียดายที่ต่อให้พูดถึงการรักษาแผ่นดินมากแค่ไหนก็ดูจะให้อารมณ์ไม่ต่างกับการพูดแบบปากเปล่า ไม่ชวนให้รู้สึกประเทศบ้านเมืองคือสิ่งสำคัญประหนึ่งชีวิตที่ต้องรักษาไม่หนักแน่นเพียงพอให้ดูน่าเชื่อถือหรือเกรงขามแต่อย่างใด ขนาดที่ว่าฉากไคล์แม็กซ์ท้ายเรื่องที่ต้องการแสดงความอุดมการณ์รักชาติที่ว่าหนักแน่นที่สุดยังไม่มีพลังพอจะยืนหยัดให้ประทับใจมากมายนัก กระนั้นกับบางคนนี่นับเป็นเรื่องที่น่าเคารพอย่างยิ่งถ้ามองในแง่ประวัติศาสตร์


แม้พล็อตจะไม่ได้พิเศษอะไรเมื่อเทียบความเป็นจริงในยุคสมัยที่อยู่ในช่วงการรักษาบ้านเมืองจากชาติอื่นและคงมีแต่เรื่องสงครามกันเป็นหลัก กระนั้นสยามยุทธพยายามใส่ปูมหลังมิติของตัวละครเพื่อให้มีมากกว่าแอ็คชั่น ซึ่งหลักๆคือทัพที่เห็นได้ว่าเมื่อเทียบกับทุกตัวละครจะมีมิติมากที่สุดและเชื่อมโยงกับตัวละครอื่นโดยเฉพาะในเรื่องของความรัก เมื่อทัพได้ตัดสินมาอยู่ร่วมใต้สังกัดกับสินก็ได้พบรักกับบัว (แคนดี้ รากแก่น) ในความสัมพันธ์ผิวเผินจะแค่คู่รักธรรมดา ทว่าตัวหนังพยายามต้องการสอดแทรกความดราม่าของความรักทั้งสองเมื่ออดีตคนรักของทัพอย่างอังกาบ (ไปรยาพิณ เจริญวิชิตไชยเดช) ผู้ซึ่งเป็นสนมเอกของเจ้าเมืองจันทบูร  (โชคชัย เจริญสุข) และยังเป็นมือสังหารของขุนรามหมื่นซ่องอย่างลับๆ ทว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องที่เพิ่มสีสันแก่ตัวละครให้เนื้อเรื่องออกมายาวโดยลืมไปว่ามีความรักสามเส้าอยู่ด้วย เมื่อสังเกตดูไปสักระยะจะเห็นทัพเป็นคนที่เจ้าชู้มากแค่ไหนเพราะระหว่างที่ร่วมรักกับบัวอย่างเช่นข้าวใหม่ปลามันจนเสร็จการแสดงความรักในหนองน้ำท่ามกลางแสงจันทร์ก็เกิดมีอังกาบโผล่ขึ้นมาจนทัพห้ามใจในคนรักเก่าไม่ได้ แม้จะเป็นศัตรูอยู่กันคนละข้างแต่ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการที่ทัพต่ออีกยกกับอังกาบที่เว่อร์ขนาดไปต่อกันถึงบนต้นไม้อย่างสวยงามก่อนจะทิ้งทัพให้หายไปโดยไม่มีการบอกลา ในส่วนของความรักที่มาเป็นส่วนหนึ่งของหนังเมื่อเอาเข้าจริงไม่ต่างกับความว่างเปล่าที่ใส่มาเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วปล่อยไปอย่างไม่แคร์และสับสนในความสัมพันธ์ของทั้งสาม ซึ่งน่าเสียดายน่าจะเพิ่มมิติให้มากกว่านี้ถ้าเป็นไปได้


แต่ตัวละครที่โดดเด่นไม่แพ้ทัพคือบุญมา (ธนาวุฒิ เกสโร) เสมือนขุนศึกของสินที่มีความเอกลักษณ์เฉพาะตัวในด้านมวยไชยา แต่ไม่ถึงกับโดดเด่นอะไรมากเท่ากับสินที่เป็นถึงหัวนำในการวางแผนและยึดเหนี่ยวจิตใจของทุกคนให้สู้โดยไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค ซึ่งการให้กำลังใจไม่ได้เกิดจากการพูดเพราะๆในเชิงปลอบใจแต่มาตรงๆในมาดของลูกผู้ชายเน้นเสียงเน้นความเป็นผู้นำ แต่บางทียังขาดความหนักแน่นไปบ้างจนไม่รู้ว่าที่ทำไปนั้นได้ตั้งสติดีพอหรือยัง ราวกับว่าตัวละครส่วนใหญ่ใช้อารมณ์มากกว่าความคิดไตร่ตร่องพูดตะโกนแหกปากเหมือนคนบ้า ทว่าความบ้านี่เองที่กลายเป็นจุดไคล์แม็กซ์ที่มันส์ที่สุดของเรื่องไม่ต่ำกว่า 20 นาทีในการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ว่าจะหญิงหรือชายต่างมีสิทธิ์เท่าเทียมในการออกรบทำศึก ด้วยอารมณ์แบบชาวบ้านเล็กๆที่รวมคนมีฝีมือจึงให้ความรู้สึกแบบเดียวกับบางระจันเพียงแค่สเกลของสยามยุทธนั้นเล็กกว่ามากและเกิดในระยะสั้นระหว่างคนเชื้อชาติเดียวกัน ด้วยข้อเสียในการเล่าเรื่องทำให้ไม่ต่างไปกับหนังธรรมดาที่พร้อมส่งลงแผ่นอย่างเรียบง่าย ทั้งนี้ทั้งนั้นในส่วนของแอ็คชั่นทำได้ดีมากทีเดียวจนรู้สึกถึงความไม่เสมอต้นเสมอปลายจนไม่รู้ว่าทีมงานมีแต่สายแอ็คชั่นอย่างเดียวหรือเปล่า ต้องยอมรับว่าในส่วนแอ็คชั่นทำได้บ้าดีเดือดและเว่อร์ด้วยนิดๆ ที่เว่อร์คือความอึดของคนบางคนที่ไม่น่ารอดแต่รอดมาได้ด้วยอาการบาดเจ็บที่ไม่หนักหนาสาหัสเท่าที่ควร ซึ่งฉากดังกล่าวอยู่ที่ฉากท้ายเรื่องทั้งสิ้นและเด่นชัดสุดฉากของผู้หญิงที่กำลังสู้รุมผู้ชายกล้ามโตร่างยักษ์ แต่ฝ่ายที่โดนยำเละคือฝ่ายผู้หญิงที่โดนกระทืบแบบเน้นๆแค่ไหนยังลุกขึ้นสู้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ สยามยุทธมีจุดเด่นคือเรื่องแอ็คชั่นที่ขายความมันส์เป็นหลักจนแสดงพลังรักชาติได้ไม่เพียงพอ แต่ถ้าชอบก็ไม่แปลกเพราะจุดขายคือเลือดและการตู้แบบไม่ต้องหลบมุมกล้อง จะเตะจะต่อยจะกระทืบนี่เรียกว่าโดนกันเต็มๆ
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)