Hush (2016) ฆ่าเธอให้เงียบสนิท

Hush (2016) | ฆ่าเธอให้เงียบสนิท
Director: Mike Flanagan
Genres: Horror | Thriller
Grade: B+

ตัวหนังยาว 80 นาทีเศษๆ แต่มีบทสนทนาไม่เกิน 15 นาทีเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะ แม็ดดี้ (Kate Siegel) ตัวละครหลักของเรื่องเป็นใบ้ ฉะนั้นไม่แปลกถ้าทั้งเรื่องจะมีการพูดคุยที่น้อยมากและใช้ภาษามือในการสื่อสาร อีกทั้งเน้นไปที่ความระทึกและความกดดันจากฆาตกรปริศนาที่จู่ๆมาบุกบ้านหน้าตาเฉย ทำให้หญิงใบ้ต้องสู้กับฆาตกรโรคจิตเพียงลำพังโดยที่ไม่มีเสียงเอ่ยปากขอช่วยเหลือใดๆจากภายนอกได้เลย


หนังสยองขวัญแนว Home Invasion ที่พล็อตสั้นนิดเดียว แต่สามารถสานต่อวิธีเล่าเรื่องให้ออกมายาวและลุ้นตลอดเวลาอย่างไม่มีเบื่อ การันตีได้จากผู้กำกับ William Friedkin ที่เคยสร้างตำนานหนังผีเรื่อง The Exorcist (1973) ด้วยความชื่นชม และอีกคนที่เห็นปรากฏชื่ออยู่ในหนังคือ Stephen King ขนาดที่นำไปเปรียบเทียบกับ Halloween (1978) และ Wait Until Dark (1967) ที่อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ส่วนจะดีกว่าหรือน้อยกว่าต้องขึ้นกับผู้ชมเองเอง

หนังถ่ายทำกันแค่ 18 วันด้วยพล็อตเรื่องฆาตกรพยายามบุกเข้าบ้าน ซึ่งเหมือนหนังสยองขวัญแนวนี้จะมีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาดกันไม่น้อย ทว่าความพิเศษอยู่ที่ตัวละครที่ไม่สมบูรณ์เพราะพิการทางได้ยินจึงเป็นใบ้ โดยความคิดนี้เป็นของ Mike Flanagan และ Kate Siegel ที่ริเริ่มกันมาตั้งแต่ปี 2014 ในจังหวะที่ทั้งคู่เดทกัน แล้วหลังจากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 ทั้งคู่ได้แต่งงานพร้อมกับคลอดหนังเรื่องนี้ตามที่ทั้งคู่คิดพล็อตเอาไว้ นับเป็นความโรแมนติกที่แปลกดีระหว่างผู้กำกับและนักแสดงนำหนังเรื่องนี้


Hush จัดว่าเป็นหนังสยองขวัญที่ได้ดิบได้ดีเรื่องตัวละครพอสมควร เพราะนอกจากจะไม่ใช่คนปกติแล้วยังให้มีหัวคิดการอ่านที่รอบคอบระดับหนึ่ง ทำให้การชิงไหวพริบคือจุดที่ยกระดับจากหนังไล่ฆ่ามาเป็นหนังประลองปัญญา แต่ไม่ได้แปลว่าจะทำให้เก่งหรือฉลาดตลอดเวลาเพราะไม่ว่าเหยื่อหรือฆาตกรล้วนผิดพลาดได้ทั้งสองฝ่าย ทำให้เห็นถึงการพลัดกันรุกพลัดกันรับไม่มีใครเหนือใคร อีกทั้งยังเป็นการทำลายสูตรหนังสยองขวัญที่มีแต่ทิศทางเดิมๆให้แตกต่างและออกมาสมจริง ฉะนั้นจะไม่มีใครเหนือกว่าใครเพราะไม่ว่าเหยื่อหรือฆาตกรล้วนถูกเอาคืนได้ไม่ยาก

ส่วนของความสยองทำได้ค่อนข้างโหดและดิบระดับหนึ่ง แม้จะไม่ถึงกับโชว์การฆ่าเหยื่อมากนักเพราะตัวละครมีน้อย แต่ที่เน้นย้ำคือเหยื่อรายแรกเพราะทำได้ถึงอารมณ์ที่สุด ไม่ใช่แค่การฆ่าที่โหดแต่เป็นช่วงไม่ทันตั้งตัวว่าจะมากันแบบนี้ทั้งที่พึ่งเดินเรื่องไม่กี่นาที อีกทั้งยังแสดงถึงความอึดอัดและความหดหู่ที่มีเพียงผู้ชมที่เห็นเท่านั้น ขณะที่แม็ดดี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นอกบ้านเพราะหูหนวกและปล่อยให้ฆาตกรฆ่าเหยื่อต่อไปอย่างใจเย็น นับเป็นฉากที่สะเทือนอารมณ์และไม่คาดฝันจากความรวดเร็วที่ปรับอารมณ์กันแทบไม่ทัน


หลายอย่างทำได้ค่อนข้างดีและบทดูฉลาดทั้งสองฝ่าย ทำให้อะไรหลายอย่างดูสมเหตุสมผล แต่จุดหนึ่งที่คิดว่าชวนให้สับสนทางอารมณ์คือฉากเผชิญหน้ากับฆาตกรที่พร้อมจะสู้ตาย แต่กลายเป็นว่าอารมณ์ที่ถูกเร้าถูกตัดออกดื้อๆเป็นอีกอารมณ์ที่ไม่สอดคล้องกัน น่าเสียดายที่จะทำให้สุดแต่ไม่กล้าสุดซะเอง ส่วนที่คิดว่าชอบคือการไตร่ตรองเพราะทำให้เห็นการคิดหนทางเอาตัวรอด ไม่ว่าจะหนี จะซ่อน หรือจะรอ ทั้งหมดนี้มีคำตอบเดียวกันคืออาจตายได้ ดังนั้นจะทำยังไงถึงจะรอดเป็นสิ่งที่ต้องคิดแล้วคิดอีก ถ้าเทียบกับหนังสยองขวัญบางเรื่องคงไม่ล้ำลึกขนาดนี้ จะตายก็ตาย จะรอดก็รอด ไม่ต้องคิดมากคิดมาย ผลสุดท้ายสิ่งที่ขาดหายไปคือความเข้มข้นและมิติตัวละครที่ปรากฏว่าเรื่องนี้ได้ไปเต็มๆ

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)