The Prowler (1981)
Director: Joseph Zito
Genres: Horror | Mystery | Thriller
Grade: B-
หนังที่ได้รับคำวิจารณ์ว่ามีส่วนคล้าย My Bloody Valentine (1981) แต่เอาจริงๆไม่ได้คล้ายอะไรมากนัก แค่พล็อตไปเกี่ยวกับความรักเหมือนกันทำให้รู้สึกคุ้นบ้างเป็นธรรมดา โดยเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในคืนฉลองจบมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้จัดมานานตั้งแต่ปี 1945 หรือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากมีคู่รักถูกฆาตกรรม จนกระทั่งผ่านไป 35 ปีได้จัดงานเลี้ยงขึ้นอีกครั้ง แต่หารู้ไม่ว่างานส่งท้ายได้กลายเป็นงานส่งความตายที่ปลุกฆาตกรให้ออกมาฆ่าอีกครั้ง
มีอีกชื่อว่า Rosemary's Killer เพราะจุดเด่นของฆาตกรรายนี้คือจะทิ้งดอกกุหลาบเอาไว้หลังฆ่าเหยื่อสำเร็จและมีเรื่องราวปริศนาเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อ"โรสแมรี"ที่มีส่วนสำคัญบางอย่างกับฆาตกร ซึ่งเรื่องจะเน้นไปที่ แพม แมคโดนัลด์ (Vicky Dawson) วัยรุ่นสาวที่หนีรอดจากฆาตกรมาได้หวุดหวิด และ มาร์ก ลอนดอน (Christopher Goutman) นายตำรวจที่ต้องหาความจริงเพื่อหยุดยั้งว่าฆาตกรนี้คือใครกันแน่และทำไปเพื่ออะไร
จุดเด่นสำคัญอยู่ที่การแมคอัพออกแบบฉากฆ่าต่างๆที่เผอิญได้มือดีอย่าง Tom Savini มาช่วยออกแบบให้สมจริงขนาดที่เจ้าตัวยังบอกว่านี่คืองานที่ดีที่สุดของเขา ซึ่งส่วนตัวมองว่าทำได้เนียบอย่างมาก ไม่ว่าจะจังหวะหรือมุมกล้องล้วนออกมาสยองและเหมือนจริง อีกทั้งยังมีฉากที่พูดถึงและติดตา คือฉากสระว่ายน้ำที่ฆาตกรลงมือฆ่าด้วยการล็อกคอก่อนจะเอามีดมาปาดคอช้าๆ จังหวะนี้ไม่ว่าจะมุมกล้องหรือเทคนิคพิเศษด้วยมือก็ล้วนดูจริงมาก และยังมีฉากสยองอื่นๆที่โหดพอตัว ฉะนั้นคอหนังสยองขวัญไม่ผิดหวังเรื่องความสมจริงแน่นอน
เป็นผลงานที่น่าสนใจของผู้กำกับ Joseph Zito จนได้รับการคัดเลือกให้ไปทำ Friday the 13th: The Final Chapter (1984) เพราะหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งไม่เป็นที่ผิดหวังจากลีลาการเล่าเรื่องที่ต่อเนื่องชวนลุ้น ที่สำคัญไม่ได้ตามทำเนียมหนังสยองขวัญไปทุกอย่าง มีหลายอย่างที่เหมือนจะตามสูตรแต่ไม่เป็นตามที่คิด บางทีตัวละครที่ไม่น่าตายก็เกิดมาตาย ทำให้ยังพอมีอะไรที่สดใหม่แม้ท้ายที่สุดจะไม่ถึงกับตีกรอบแตกซะทีเดียว
The Prowler คือหนังสยองขวัญง่ายๆที่เล่าเรื่องได้ต่อเนื่องพร้อมกับขมวดปมทีละเล็กละน้อย แต่น่าเสียดายที่องค์สุดท้ายถูกเพิกเฉยในการเฉลยเรื่องราว ทำให้สิ่งที่วางมาตลอดกลายเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล ไม่รู้จุดประสงค์ของฆาตกรรายนี้ว่าทำเพื่ออะไรแม้จะเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ทำไปทำไม แต่จะทำต่ออีกเพราะอะไรเป็นประเด็นที่น่าฉงนใจ ถึงจะพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดแต่เป็นเรื่องที่ขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงจะจบไม่ค่อยดี แต่อย่างน้อยฉากจบจริงๆทำได้หลอนระดับหนึ่งเพราะได้แรงบันดาลใจมาจาก Carrie (1976) ส่วนจะช็อกตกใจแค่ไหนขึ้นกับผู้ชมจะรู้ทันหรือเปล่า