Beyond Skyline (2017) | อสูรท้านรก
Director: Liam O'Donnell
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: C+
ตอนดู Skyline (2010) แบบไม่คาดหวังก็นับว่าสนุกระดับหนึ่ง แต่ด้วยความไม่มีอะไรมากนักทำให้สูญเสียเวลาไปไม่น้อย กว่าจะเข้าเรื่องกว่าจะมีเอเลี่ยนกว่าจะถึงฉากที่เข้าท่าก็ปาไปในช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นฉากกระตุ้นความอยากดูที่ตั้งหน้าตั้งตารอในความแปลกใหม่ แต่นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวไม่กี่นาทีก่อนจะขึ้นเครดิตจบปล่อยให้ความตื่นเต้นค้างคาด้วยความรู้สึกทำไมไม่ต่อให้จบ ในใจไม่อยากถือโทษโกรธเคืองใดๆ เนื่องจากสุดท้ายแล้วก็คว้าความอยากดูความลุ้นความสนุกให้เกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายจนได้
หลักๆจะแบ่งเรื่องราวเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- ช่วงเอเลี่ยนบุก
- ในยานอวกาศ
- และสู้กันที่โบราณสถาน
ภาคต่อที่ไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกก็รู้เรื่องเพราะเนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไรเลย ฉะนั้นการเล่าย้อนความจึงกระชับเข้าใจง่ายอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจากตอนจบที่อาจไม่ทันทีแต่เข้าใจเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ ทว่าก่อนจะเชื่อมโยงถึงภาคแรกจะเล่าถึงตัวละครในภาคนี้ก่อนเกิดเหตุการณ์เอเลี่ยนบุกโลกกับนายตำรวจชื่อ มาร์ค (Frank Grillo) ที่มีปัญหาเรื่องความประพฤติของ เทรนต์ (Jonny Weston) ลูกชายที่ต้องมาตามแก้ตัวอยู่เสมอ จนกระทั่งมีแสงสีฟ้าเกิดขึ้นบนท้องฟ้าและสะกดทุกคนที่เห็นแสงเข้าไปในยานอวกาศ
ในส่วนแรกจะไม่มีอะไรมากและรูปแบบจะไม่ต่างกับภาคแรกที่มีเอเลี่ยนบุกโลกด้วยวิธีปล่อยแสงสีฟ้าเพื่อสะกดจิตก่อนจะดูดทุกคนขึ้นยานอวกาศ ซึ่งช่วงนี้จะพยายามเน้นไปที่ความสัมพันธ์พ่อลูกเพื่อเนื้อเรื่องถัดไปที่เหลือ แน่นอนว่าหลายอย่างยังดูไม่มีอะไรมาก อาจจะเห็นตัวละครเริ่มสู้เอเลี่ยนบ้างแต่ยังไม่ถึงกับแปลกตรงไหน จนมาสู่เนื้อเรื่องถัดไปในยานอวกาศที่พาไปสำรวจยานเพื่อดูว่าจับคนไปทำอะไรกันแน่ โดยคำตอบนั้นคือเฉลยในตอนจบภาคแรก ที่นำมาใช้ร่วมกันจากเซอร์ไพรส์เป็นลุ้นแทนว่าจะรอดจากการถูกจับอีกหรือไม่หลังหลุดเข้าไปในยาน
ข้อดีของภาคต่อนี้คือการเล่าเรื่องที่รวดเร็วและขยายช่องทางต่างๆให้มากขึ้น อะไรที่เคยเล่าเอาไว้จะถูกเพิ่มเข้าไปให้เห็นมุมมองต่างๆ อย่างเอเลี่ยนที่เป็นมากกว่าจับคนเพียงอย่างเดียวเพราะบทบาทหน้าที่อย่างอื่นยังคงมีด้วย ที่สำคัญสถานะของฝ่ายมนุษย์โลกไม่ได้หนีเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียวเพราะยังรู้จักสู้ ซึ่งหลังจากพ้นช่วงแรกและช่วงสองจะกลายเป็นช่วงที่แตกต่างกับที่แล้วมาอย่างมาก ยิ่งเล่าเรื่องไปได้เท่าไรยิ่งเห็นการพัฒนาที่มากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นความจำเจหรือเป็นไปตามสูตรอาจไม่ใช่กับเรื่องนี้ซะทีเดียว
Iko Uwais และ Yayan Ruhian คือนักแสดงคุ้นหน้าที่สร้างชื่อเสียงจาก The Raid: Redemption (2011) ที่กลายเป็นหนังแอ็คชั่นที่เต็มไปด้วยความดิบของคิวบู๊ที่มันส์เลือดพล่าน ซึ่งทั้งสองได้กลายเป็นจุดเด่นเรื่องฝีมือศิลปะป้องกันตัวแล้วถูกนำมาใช้อยู่หลายเรื่องและหนังเอเลี่ยนภาคต่อนี้ก็มีฉากต่อสู้ด้วยกัน แน่นอนว่ากับคนด้วยกันเองไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่ถ้าเป็นเอเลี่ยนที่ต้องเข้าไปต่อยตีจะมีลักษณะอย่างไร นับเป็นความน่าสนใจที่น้อยจะเหมือนใคร
การเชื่อมโยงเหตุการณ์ทำได้ลื่นไหลและต่อเนื่องจนไม่รู้สึกถึงความไม่สมเหตุสมผล แต่อาจจะมีบ้างที่จังหวะยังขาดๆเกินๆที่เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้าปรับอารมณ์ไม่ทัน ซึ่งจะว่าไปแล้วการหยิบนี้หยิบนั้นผสมน้อยให้เป็นเนื้อเดียวกันโดยที่ไม่หลุดประเด็นก็นับว่าดีมากแล้วสำหรับการเล่าเรื่อง ฉะนั้นไม่แปลกใจเลยถ้าชื่อหนังจะใส่คำว่า Beyond ลงไปก่อนคำว่า Skyline ชื่อหลักของหนังภาคแรกที่บ่งบอกถึงการผสมผสานให้หลุดกรอบจากหนังเอเลี่ยนทั่วไป
ทว่าในความแปลกนี้อาจจะไม่ถูกใจกันซะทุกคนเพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะพล็อตหรือการเชื่อมโยงก็ล้วนไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนื่อการคาดเดาแบบเดียวกับตัวละครที่ค่อนข้างตายตัว ฉะนั้นความพลิกแพลงจึงมีน้อยเพราะขายความแปลกตาแต่ไม่แปลกใจ ไม่ว่าจะ CGI หรือฉากต่อสู้ก็ล้วนอยู่ในระดับที่เรียกอารมณ์คนดูได้ระดับหนึ่ง ส่วนตัวละครมีการวางปมอยู่บ้างจึงไม่ถึงกับน่าเบื่อซะทีเดียว ถ้าคาดหวังความสดใหม่อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ถ้าอยากได้ความบันเทิงขายความมันส์ความต่อเนื่องในการเล่าเรื่องก็ต้องเรื่องนี้ ที่สำคัญคือตอนจบที่เรียกว่าเซอร์ไพรส์พอสมควรเพราะถ้ามีโอกาสสร้างภาคต่อจะเป็นเรื่องราวที่ถูกขยายไปไกลกว่าเดิมหลายเท่าตัว จากเมืองไปทั่วโลกและต่อกันระดับจักรวาล