A Good Day to Die Hard (2013) | วันดีมหาวินาศ คนอึดตายยาก
Director: John Moore
Genres: Action | Thriller
Grade: C
"เมื่อนึกถึง Die Hard ไม่ว่าภาคไหนต้องนึกหยิบมาดูทันที แต่มีข้อยกเว้นอยู่ภาคหนึ่ง"
ภาคต่อลำดับ 5 ที่ไม่อยากเรียกว่าภาคต่อสักเท่าไร เนื่องจากเสน่ห์ที่สร้างมาแสนยาวนานต้องมาจบลงที่ภาคนี้แทบทุกกรณี โดยเฉพาะทีเด็ดประจำตัวหนังชุดนี้ที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เรียกทีเด็ดในภาคนี้จะไม่มี แต่ถูกทำให้จืดชืดกลายเป็นธรรมดาราวกับหนังแอ็คชั่นยุค 80's-90's ที่เน้นขายเอามันส์ จะยิงจะระเบิดเผากระท่อมแค่นั้น ส่วนมิติส่วนอื่นๆหายเกลี้ยงจนเกิดความรู้สึกที่จบแล้วจบกัน
สิ่งที่ทำให้ Die Hard ยังคงเป็นหนังแอ็คชั่นชวนสนุกไม่รู้ลืมคือการดึงศักยภาพของตัวละครมาได้ไกลเกินกว่าหนังแอ็คชั่นทั่วไป โดยเฉพาะตัวร้ายที่ต้องเจ้าวางแผนเตรียมการมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าพระเอกจะเก่งแค่ไหนยังสามารถรับมือได้ ที่สำคัญยังเซอร์ไพรส์ความเก่งกาจจนคู่ควรกับคำว่าตัวร้ายอย่างแท้จริง ซึ่งภาคนี้สิ่งที่กล่าวมาแทบไม่มีให้เห็น เป็นเพียงตัวร้ายธรรมดาๆที่แผนการไม่ได้ซับซ้อนหรือยิ่งใหญ่อย่างที่ภาคอื่นๆทำให้เห็น อีกอย่างคือไม่ได้ฉลาดหรือเฉียบคมเท่าที่ควร ค่อนข้างตามสูตรสำเร็จเสียด้วยซ้ำ ยิ่งตอนจบสร้างความผิดหวังค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
ถึงตัวร้ายจะผิดหวังแม้ใช้แผนซ้อนแผนเพื่อดึงความฉลาดออกมา แต่ จอห์น แมคเคลน (Bruce Willis) คือความหวังที่โชว์ความสามารถเหนือความคาดหมายในการต่อกรกับคนร้ายด้วยวิธีที่แผนสูงกว่าเสมอ ซึ่งการทำตัวเป็นกางขวางคอขัดขาให้แผนคนร้ายสะดุดแล้วสะดุดเล่าคือความกวนประสาทอย่างหนึ่ง อีกทั้งเป็นเสน่ห์ประจำตัวหนังชุดนี้ที่ช่วยสร้างเพลิดเพลินตลอดเวลา จะไม่เหมือนกับหนังบู๊บางเรื่องที่ให้พระเอกถือปืนยิงลุยอย่างเดียว การไม่เจอกับคนร้ายตรงๆและสกัดแผนให้คนร้ายค่อยๆจนตรอกเป็นวิธีที่เข้าท่าเข้าทางและลุ้นมากกว่า แต่เผอิญภาคนี้ไม่มีอย่างว่า
จอห์น แมคเคลน คือนายตำรวจจอมกวนที่มักอยู่ผิดที่ผิดเวลา มักไปอีกอย่างเจออีกอย่างจนมีสถานะเป็น"ตัวซวยของคนร้าย" ฉะนั้นเนื้อเรื่องภาคนี้จึงไม่ต่างกันที่ให้เดินทางไปถึงมอสโก ประเทศรัสเซีย เพื่อไปพบ แจ็ค แมคเคลน (Jai Courtney) ลูกชายของตนที่กำลังขึ้นศาลเพราะไปฆ่าคนตาย ขณะนั้นเองก็มี ยูริ โคมารอฟ (Sebastian Koch) ที่กำลังขึ้นศาลเช่นเดียวและกุมความลับที่ซ่อนไฟล์บางอย่างเอาไว้ ซึ่งเป้าหมาที่แท้จริงของแจ็คคือการลักพาตัวยูริหลบหนีกลุ่มคนร้ายเพราะเป็นสายลับซีไอเอ แต่กลายเป็นว่าทั้งแผนหลบหนีของแจ็คและแผนไล่ล่าของคนร้ายต้องพังลงทั้งคู่เพราะการปราฏตัวของจอห์น
การนำ Bruce Willis มาจับคู่กับ Jai Courtney ถือเป็นการชอบส่วนตัวเรื่องนักแสดง ส่วนบทบาทตัวละครที่ตั้งใจพูดถึงความสัมพันธ์พ่อลูกก็ดูจะรวบรัดมากไปหน่อย ไม่เหมือนในภาค Live Free or Die Hard (2007) ที่ยังพูดถึงความสัมพันธ์พ่อกับลูกสาวได้ลึกซึ้งกว่า แต่พอพูดถึงลูกสาวก็ยังให้ Mary Elizabeth Winstead มารับบท ลูซี่ กับฉากอันน้อยนิดที่โผล่ออกมาตอนแรกกับตอนจบ แน่นอนว่าไม่ได้ช่วยยกระดับให้ตัวละครมีมิติมากขึ้นในฐานะครอบครัว
A Good Day to Die Hard มันส์กว่าทุกภาคที่จัดหนักจัดเต็มเรื่องฉากแอ็คชั่นจนโม้ไปหลายฉาก ยิ่งความวินาศสันตะโรมีให้เห็นกันแต่เนิ่นๆกับฉากไล่ล่าบนท้องถนนจนน่าจะเป็นช่วงเวลาที่มันส์ที่สุดเรื่องแล้ว แต่หลังจากนั้นจะไม่รู้สึกมันส์หรือดุเดือดอีกต่อไปเพราะหมดของ ซึ่งรู้สึกได้เลยว่าความมันส์เริ่มน้อยลงเรื่อยๆจนมาถึงไคล์แม็กซ์ที่ไม่ได้สนุกเหมือนที่ทำเอาไว้ในช่วงแรกๆ กระนั้นไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ถือว่าผิดสูตรความเป็น Die Hard ที่ไม่เน้นความวินาศว่าต้องมีระเบิดหรือข้าวของเสียมากมาย ขอแค่มีบ้างนิดๆหน่อยๆแบบเน้นไปเลยให้น่าจดจำ นี่ยิงกระจุยกระจายกลัวไม่สมเป็นหนังแอ็คชั่น
ผู้กำกับ John Moore เหมือนตั้งใจทำให้ภาคนี้เป็นสิ่งที่ทุกภาคมี สังเกตได้จากส่วนประกอบหลายอย่างที่พยายามหยิบเล็กผสมน้อยจากภาคนี้บ้างภาคนั้นบ้างหรือจุดเด่นจุดขายมาแสดงให้เห็นแบบตั้งใจหลายครั้ง การทำแบบนี้ชวนให้ถึงภาคก่อนๆจนขาดความเป็นตัวของตัวเองทั้งที่ทุกภาคก่อนหน้านี้พยามยามสร้างสิ่งใหม่ๆ แต่จะยกเว้นเรื่องการจัดฉากที่ออกมาสวยจนไม่แปลกใจถ้าเคยเห็นผลงานก่อนหน้านี้มาแล้วใน Max Payne (2008) จากเกมสุดมันส์มาเป็นหนังที่ไม่มันส์แต่งานองค์ประกอบฉากดี ดังนั้นไม่แปลกที่นอกจากดูเอามันส์ก็ไม่เห็นอะไรที่จับต้องได้เลย ขนาดจอห์น แมคเคลนที่น่าจะเป็นจุดขายมากที่สุดยังสูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ใครจะไปนึกว่าตัวละครจอมวางแผนจะถือปืนลุยมากกว่าใช้สมอง เรียกว่าผิดหวังที่เป็นส่วนหนึ่งของ Die Hard แต่ถ้าไม่ใช่ก็ถือว่าโอเคระดับหนึ่งเพราะดูเอามันส์ไม่น้อย