Cargo (2018) | คาร์โก้
Director: Ben Howling,Yolanda Ramke
Genres: Drama | Horror | Sci-Fi | Thriller
Grade: B+
"พ่อทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกรอด"
Martin Freeman มารับบทเป็น แอนดี้ หรือคุณพ่อที่ทุ่มเทให้กับความอยู่รอดของครอบครัว ทีแรกไม่ค่อยไว้ใจเรื่องการแสดงสักเท่าไรเพราะคุ้นชินกับหนังแอ็คชั่นหรือหนังไซไฟเป็นส่วนใหญ่ พอมาเป็นหนังสยองขวัญประเภทเน้นนักแสดงก็ยิ่งต้องโชว์ความสามารถให้แตกต่างจากเดิมกันหน่อย ซึ่งทำได้ไม่ถึงอารมณ์อย่างที่คิด แต่อีกนัยก็เข้ากับคาแรคเตอร์ที่ต้องเข้มแข็งเพื่อลูกน้อย ฉะนั้นอาจดูนิ่งบ้างแต่ลึกๆแล้วการสวมบทบาททำให้เราเชื่อมั่นในตัวละครนี้ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจหนีได้อีกแล้ว
หลายอย่างถูกแต่งเติมจากหนังสั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ก่อนหนังสั้นที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่น แม้จะตกอยู่ช่วงที่เลวร้ายก็ยังหาวิธีแก้ไขบรรเทาทุกข์ได้สำเร็จ แต่เรื่องเลวร้ายก็มาถึงเพราะเคย์ (Susie Porter) ภรรยาของแอนดี้ต้องมาถูกกัด ทำให้แอนดี้ต้องรีบหาหนทางที่อาจรักษาให้กับคนรักของตน เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้อารมณ์ความสุขในช่วงเปิดเรื่องที่แม้สภาพโดยรอบจะย่ำแย่ แต่ภายในครอบครัวไม่เคยแย่ตามต้องกลายเป็นเรื่องหดหู่เศร้าใจ
เมื่อรู้เหตุการณ์ก่อนที่เกิดขึ้นในหนังสั้นก็ถึงคราวโศกนาฏกรรมอีกอย่าง เมื่อแอนดี้ต้องถูกกัดเช่นกันและก่อนเป็นซอมบี้เต็มตัวยังมีเวลาเหลือ 48 ชม.เพื่อดูแลและหาทางให้ลูกสาวตัวน้อยมีชีวิตต่อไป โดยเนื้อเรื่องจะมีการเสริมเติมแต่งเข้าไปมากพอสมควร ทำให้การเดินทางของพ่อที่สู้เพื่อลูกเป็นมากกว่าการเอาชีวิตรอดเพียงด้านเดียว เนื่องจากยังมีตัวละครอื่นๆที่เข้ามาส่งผลกระทบในการดำเนินชีวิต เช่น ทูมิ (Simone Landers) เด็กผิวสีที่แอนดี้บังเอิญไปพบเข้า,วิค (Anthony Hayes) ผู้รอดชีวิตที่แอนดี้ไม่มั่นใจว่าเขาคือคนดี และลอแรน (Caren Pistorius) ผู้หญิงที่แอนดี้อยากให้ช่วยดูแลลูกสาวก่อนเป็นซอมบี้
การได้พบตัวละครอื่นๆช่วยยกระดับเนื้อเรื่องให้มีความหลากหลายและมุมมองที่มากกว่าหนังซอมบี้กินคน โดยเฉพาะการแอบแฝงเรื่องเสียดสีความเป็นมนุษย์ที่กำลังใช้ประโยชน์ด้วยวิธีกดขี่และกำลัง ซึ่งมีการอิงถึงประเทศที่มีอำนาจที่อยู่กว่าประเทศอื่นอีกทั้งยังแอบใส่ประเด็นเรื่องทรัพยากรที่ถูกขุดในพื้นที่ที่ไม่ต้องการให้ขุด โดยประเด็นเหล่านี้ได้พยายามเป็นตัวอย่างให้กับโลกที่มีซอมบี้เพื่อเปรียบเทียบถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้แม้เป็นเพียงจุดเล็กจุดน้อยก็ตาม และอีกหลายอย่างที่แอบใส่เล็กใส่น้อยให้สะดุดนึกคิดตาม
น่าเสียดายที่ Cargo ยังเป็นหนังซอมบี้ที่ไม่อาจบอกว่าเป็นสิ่งที่สดใหม่หรือแตกต่างจากหนังซอมบี้เรื่องอื่นๆมากเท่าไรนัก แต่การมุ่งเน้นที่ตัวละครทำให้เกิดอาการผูกพันกับผู้ชมอยู่ไม่น้อย ความเป็นพ่อที่อยากให้ลูกรอดให้ได้คือสิ่งที่ลุ้นเอาใจช่วย แล้วยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไรยิ่งอาการหนักมากขึ้นจนแสดงถึงความเหนื่อยล้าที่แสนหดหู่ สำหรับตอนจบไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดเดาหากดูฉบับหนังสั้นมาก่อน แต่อย่างน้อยสิ่งที่แตกต่างไปคืออารมณ์ความรู้สึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของตอนจบที่หนักแน่นและสะเทือนใจ แต่คงจะดีกว่าถ้าเค้นอารมณ์ให้มากกว่านี้เพราะเชื่อว่าว่าต้องมีเสียน้ำตากันบ้าง ในทางกลับกันก็เพียงพอให้เห็นถึงความพยายามของคนเป็นพ่อที่สู้เพื่อลูกอย่างที่สุด
