Rampage (2018) | แรมเพจ ใหญ่ชนยักษ์
Director: Brad Peyton
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: B
ได้เรท PG-13 แต่รู้สึกหลายฉากไปไกลกว่านั้นมาก การได้เห็นศพคนตายพร้อมกับชิ้นส่วนกระจุยกระจาย โดนหมาป่างับเหวี้ยงไปมาต่อหน้าต่อตา คราบเลือดที่ปากหมาป่าจากการกินคนบนรถเมล์ ถ้าไม่คิดอะไรมากอาจเฉยๆ แต่เผอิญด้วยอารมณ์พาไปจึงคิดว่านี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นอย่างที่ตัวเองคิด บางฉากเป็นหนังสยองขวัญได้เลย โดยเฉพาะหมาป่าที่ทวีความโหดร้ายได้ดิบเถื่อน ราวกับเป็นคาเรกเตอร์ขายความสยองเลือดเย็นและดุร้าย
ขณะที่จระเข้เน้นอลังการโผล่ตอนท้ายทีเดียวก็เอาอยู่ได้จนจบ ไม่ต้องมาแย่งบทหมาป่ากับกอลิล่าให้ยุ่งยาก อีกทั้งเป็นตัวเซอร์ไพรส์ที่ผู้ชมรู้ว่ามีแต่ไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็นจนฉากขึ้นบกในศึกตะลุมบอนที่เมือง ที่สำคัญเป็นตัวช่วยขยายความมันส์ที่หนังไม่ยอมจบง่ายๆเพราะความอึดและทึก จะอัดระเบิดหรือยิงกระหน่ำก็แทบไม่ระคายผิว ถ้ามีจระเข้ยักษ์แบบนี้โผล่มาอีกสักตัวสองตัวคงไม่ต้องอธิบายความวินาศ เพราะแค่นี้ถล่มเมืองเละไม่ต่างกับดูหนังก็อซซิลล่าที่ฆ่าเท่าไรไม่ยอมตายสักที
ส่วนกอลิล่าเทียบตัวที่เหลือดูจะด้อยไปหน่อย โดยเฉพาะในแง่รูปร่างที่ตัวโตขึ้นเท่านั้น ไม่เหมือนกับตัวอื่นที่มีความสามารถพิเศษของสัตว์ชนิดอื่นและเปลี่ยนรูปร่างให้น่าเกรงขามอีกด้วย ทำให้กอลิล่าจอมพลังไม่มีอะไรที่พิเศษพิศดาร ไม่ว่าจะความพลิกแพลงและความอลังการล้วนตกเป็นของหมาป่ากับจระเข้หมด แต่ถึงเช่นนั้นเป็นตัวละครที่มีมิติมากที่สุด ไม่ใช่สัตว์ป่าที่โดนลูกหลงแล้วจะกำจัดทิ้งยังไงก็ได้
ดัดแปลงมาจากเกมปี 1986 ที่เป็นเพียงเกมทุบตึกที่ไม่ยากซับซ้อน ทว่าการต่อยอดจากเกมสู่หนังมักเป็นความยากลำบากในหลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่มักสร้างไม่สนุกตามเกมเพราะใส่ความเห็นส่วนตัวของผู้กำกับ จนหลายครั้งได้ทำลายเสน่ห์แบบเดิม ในทางกลับกันการพยายามให้ใกล้เคียงกับเกมไม่ต่างกับฝืนทำจนความสนุกออกมาจืดชืด โลกของเกมกับความเป็นจริงจึงแตกต่างกันเพราะต่างมีวิธีการใช้งานคนละแบบ
สำหรับ Rampage มองในแง่ของเกมเก่าเกมหนึ่งคงไม่มีเนื้อหาอะไรที่ยืดยาว มีเพียงสัตว์ยักษ์ทำลายเมืองและมีกองกำลังทหารจู่โจม แล้วก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้างและที่มาที่ไปในการเข้าเมืองเพื่อทำลายตึกบ้านช่องคืออะไร ซึ่งเรื่องนี้มีคำตอบอธิบายที่สมเหตุสมผลเอาไว้หมดแล้ว (แม้ในความเป็นจริงจะขี้โม้ซะเหลือเกิน) การเชื่อมโยงถึงความเป็นมาในต้นเรื่องจนนำไปสู่หลายสาเหตุช่วยให้เนื้อเรื่องมีน้ำหนัก อีกทั้งยังเสริมประเด็นสัตว์ป่าที่ถูกล่าอย่างผิดกฎหมาย ฉะนั้นจะแอ็คชั่นเพียวๆคงจะไม่ใช่ซะทีเดียว
Dwayne Johnson มาแสดงเป็นพระเอกอีกครั้งในหนังผู้กำกับ Brad Peyton โดยครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ร่วมงาน หลังก่อนหน้านี้เคยจับมือกันมาแล้วใน Journey 2: The Mysterious Island (2012) และ San Andreas (2015) ไม่ว่าเรื่องไหนล้วนพึ่งพลังใน CGI ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะสัตว์ยักษ์หรือฉากเมืองถล่ม จนกระทั่งมาเป็นหนังเรื่องนี้ที่หยิบเอาทั้งสองอย่างมารวมที่เดียวกัน ทำให้สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ถล่มเมืองได้เกิดขึ้นจริงอย่างไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะดูปลอมหลอกตา
แม้จะขยันแต่งเนื้อเรื่องให้เชื่อมโยงไปมาเข้าหากันอย่างดี กระนั้นไม่อาจบอกได้ถึงความสดใหม่ หลายอย่างเป็นสูตรสำเร็จที่ลงตัว ไม่ต้องคาดเดาให้วุ่นวายเพราะสุดท้ายหนังจะจบในทิศทางไหนย่อมรู้กันดี แต่ต้องยอมรับในความพยายามใส่เนื้อหาสาระ โดยเฉพาะประเด็นของสัตว์ในหลายแง่มุม เช่น การนำมาทดลอง และการล่าสัตว์ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกอลิล่าจะรับภาระเกี่ยวกับปมในอดีตเมื่อครั้งยังเล็กๆ สิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนที่สุดท้ายแล้วมนุษย์ยังน่ากลัวกว่าอยู่ดี
ตัวร้ายจริงไม่ใช่สัตว์ยักษ์ใหญ่ถล่มเรื่อง แต่เป็นผลจากความเลวร้ายของการทดลองที่เผอิญถูกลูกหลงเท่านั้น ซึ่งตัวการจริงคือผู้ให้ทำการทดลองและปล่อยให้เกิดขึ้นเพื่อใช้เป็นประโยชน์ทางรายได้ โดยนักแสดงที่มารับบทนี้คือ Malin Akerman และ Jake Lacy ในบทพี่น้องไวเดน ผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อแอบทดลองบางอย่างลับๆบนอวกาศ แต่เกิดผิดพลาดทำให้สิ่งที่ทดลองตกบนพื้นโลกและสัมผัสเข้ากับสัตว์ป่า ทำให้กลายเป็นสัตว์ยักษ์ใหญ่ถล่มเมือง ซึ่งคาแรกเตอร์และการแสดงเป็นตัวร้ายต่างทำได้แสบสันต์ เสียอย่างเดียวคือการวางให้ฉลาดทั้งเรื่อง แล้วมาพลาดท่าตอนจบเพราะความประมาทอย่างไม่คิดว่าจะพลาดได้
Rampage คือหนังที่จากเกมที่สามารถต่อยอดได้ไกลเกินกว่าเป็นหนังแอ็คชั่นสัตว์ประหลาดยักษ์ถล่มเมือง มีสอดแทรกประเด็นเสริมน้ำหนัก แม้ที่สุดประเด็นดังกล่าวจะไม่มีอะไรที่ช่วยให้ดีขึ้นในตอนจบเลยก็ตาม แต่อย่างน้อยการทำให้ตัวละครมีมิติช่วยให้อะไรหลายอย่างน่าเชื่อถือ อีกทั้งการเล่าเรื่องยังต่อเนื่องแทบไม่ทิ้งช่วงให้พักหายใจ ส่วนแอ็คชั่นทำได้ตื่นเต้นตื่นตาถึงอารมณ์ เหมาะสมอย่างมากกับคำว่าเน้นบันเทิงดูมันส์