Tomorrowland (2015) | ผจญแดนอนาคต
Director: Brad Bird
Genres: Action | Adventure | Family | Fantasy | Mystery | Sci-Fi
Grade: B-
ช่วงแรกทำได้น่าสนใจมาก แม้ในใจคงไม่คิดมีอะไรที่มากไปกว่านี้ แต่ด้วยอารมณ์และฉากต่างๆล้วนทำให้น่าติดตาม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่างมิติคนละเวลา อีกด้านเป็นยุคที่เริ่มคิดค้นเทคโนโลยี หลายอย่างพึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดจากการประดิษฐ์ ส่วนอีกด้านคือความล้ำสมัยที่ต่างราวกับเหว ซึ่งการมีแต่เทคโนโลยีที่ทันสมัยขนาดนี้ได้เพราะเกิดจากการรวมตัวของคนเก่งหัวกะทิที่ได้รับการคัดเลือก ทว่าที่ล้ำสมัยและคนเก่งมารวมที่เดียวก็ไม่อาจหยุดหายนะบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นได้
เคซี นิวตัน (Britt Robertson) หญิงสาวที่เผอิญได้เข็มกลัดปริศนาโดยที่ไม่รู้มาจากไหน จนเมื่อได้สัมผัสก็เกิดการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ทุกอย่างกลายเป็นอีกที่หนึ่งเพียงพริบตา เมื่อเลิกสัมผัสจะกลับมาเป็นปกติ ปริศนาที่ไม่รู้ว่าคืออะไรทำให้ถูกตามล่าทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไม แต่คนที่ช่วยได้คืออะธีน่า (Raffey Cassidy) เด็กสาวที่ความสามารถเกินตัว และเพื่อยุติปัญหาที่ตามมา ทั้งสองต้องตามหาแฟรงก์ วอล์กเกอร์ (George Clooney) และชวนให้เขากลับสู่ Tomorrowland อีกครั้ง
ครึ่งแรกมีหลายอย่างให้ร่วมลุ้นหาคำตอบ ทำให้สนุกในการค้นหาความจริง แต่พอยิ่งเล่าก็ยิ่งกร่อย จนที่สุดความสนุกที่สร้างมาตลอดต้องจบแบบง่ายๆตามสูตรสำเร็จ ซึ่งความคาดหวังเกิดจากการทำให้พล็อตเรื่องดูสดใหม่ มีการเดินทางผจญภัยข้ามเวลา การหาคำตอบ การแก้ปัญหา ซึ่งทุกอย่างรวมกันแล้วมีแต่ยิ่งน่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นกลายเป็นด้านตรงกันข้ามที่ไม่เหลืออะไรให้เล่าอีกต่อไป แม้จะพยายามเชื่อมโยงปมประเด็นมากแค่ไหนก็ตาม
อนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน ให้ย้อนมาดูที่ปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นข้อคิดสอนใจอย่างหนึ่งด้วยเนื้อหาที่เชื่อมโยงไปถึงวาระสุดท้ายของมนุยชาติ แต่เกิดขึ้นได้ยังไงและหยุดยั้งได้หรือไม่ คำตอบนี้อยู่ที่ความคิดล้วนๆว่านึกคิดอย่างไรเกี่ยวกับอนาคต ถ้าพรุ่งนี้ยังอยากใช้ชีวิตก็อยู่ต่อไป แต่ถ้าไม่อยากใช้ชีวิตจะเป็นการนับถอยหลังสู่จุดจบ เสมือนการดำรงชีวิตในแต่ละวันที่คิดอะไรไว้บ้างเกี่ยวกับอนาคต
สิ่งที่คิดมีผลต่อวันข้างหน้า แต่จะตระหนักมากเพียงใดกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นคำถามที่สะท้อนความคิดออกมาได้ดี โดยเฉพาะการเปรียบเทียบระหว่างโลกที่อยู่ต่อไปกับโลกที่สิ้นหวัง แม้จะรู้ว่าสักวันจะถึงคราวโลกแตก แต่อยากให้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ความคิดนี้ได้กลายเป็นความเคยชินที่แล้วแต่ใครจะอยู่ใครจะไป ทำให้อนาคตอาจอยู่ได้ไม่นานเพราะมีความสิ้นหวังเกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงตัวละครมีความแบ่งแยกชัดเจน ซึ่งแต่ด้านแสดงผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป
สิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดคือ George Clooney ที่น่าจะมาพร้อมกับการแสดงอันแสนประทับใจ ซึ่งว่าตามตรงบทไม่ได้เขียนมาให้เป็นเช่นนั้น แม้หลายอย่างจะแสดงให้เห็นว่าเป็นตัวละครสำคัญ และมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในวัยเด็กจนโต แต่ดูเหมือนจะดึงอารมณ์มาได้ไม่หมดอย่างที่ควร เช่นเดียวกับ Britt Robertson ที่แรกเริ่มมีบทบาทให้ใช้อยู่ประจำ จนบทเริ่มน้อยลงกลายเป็นส่วนเกินไปในทันที กระนั้นด้วยเทอะทะและคาเรกเตอร์สาวห้าวทำให้หลงเสน่ห์กันเลยเชียว ทั้งนี้คนที่ขโมยซีนมากที่สุดคือ Raffey Cassidy เพราะมาทั้งบู๊ทั้งบุ๋นเล่นท่าเยอะกว่าทุกคนและน่ารักด้วย
ในส่วนของ CGI ทำได้สวย โดยเฉพาะฉากในเมืองที่แสดงความล้ำสมัยที่ตัดกับท้องฟ้าแสนสดใส และฉากไร่ข้าวโอ๊ตนอกเมืองที่รู้สึกอบอุ่น ซึ่งความสวยงามนี้ได้มีการเฉลยได้เจ็บแสบพอสมควรว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เห็นเป็นอย่างไร ขณะที่แอ็คชั่นมีค่อนข้างน้อย แต่ทุกฉากล้วนถึงอารมณ์ใส่กันไม่ยั้งมือ(อาจเพราะเป็นหุ่นยนต์จึงไม่ลังเล แต่ถ้าเป็นคนคงออกมาสยองขวัญพิลึก) ก็ถือว่า Tomorrowland คือหนังสร้างความฝันและกำลังใจสู้ชีวิตที่ดี แม้จะไม่ค่อยหนักแน่นเท่าไร แต่เชื่อว่าอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้ ถ้าเราไม่สิ้นหวังและท้อแท้