The Predator (2018) | เดอะ เพรดเดเทอร์
Director: Shane Black
Genres: Action / Adventure / Sci-Fi / Thriller
Grade: B-
เป็นภาคต่อลำดับที่ 4 (ไม่นับภาคเสริมใน AVP: Alien vs. Predator (2004) และ AVPR: Aliens vs Predator - Requiem (2007)) ซึ่งทุกภาคก่อนหน้านี้ล้วนทำให้ทุกอย่างคงเส้นคงวาตามภาคแรกในปี 1987 จนกระทั่ง Shane Black คนที่มีความผูกพันกับหนังชุดนี้ในฐานะนักแสดงภาคแรกมาเป็นผู้กำกับ ทุกอย่างก็พลิกตาลปัตรกลายเป็นหนังที่ตัวเองไม่รู้จักมาก่อน
ความตลกทำให้ภาคนี้มีสภาพกึ่งดีกึ่งร้าย บางคนชอบบางคนเกลียกเข้าไส้ ส่วนตัวนั้นเป็นทั้งสองอย่าง แค่ไม่เข้าขั้นจงเกลียดจงชังขนาดอุทานว่าแย่หรือห่วย อันที่จริงเป็นความแปลกใหม่เสียด้วยซ้ำ เพราะสังเกตทุกภาคจะมีเนื้อเรื่องเดิมๆ เปลี่ยนวันเวลาสถานที่และแต่งเติมที่มาที่ไปนิดหน่อยเท่านั้น พรีเดเตอร์ทำหน้าที่ล่ามนุษย์เช่นทุกภาค ตั้งแต่ในป่า ในเมือง ในต่างดาว สถานะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จนภาคนี้เป็นเรื่องราวของพรีเดเตอร์ล่ากันเอง โดยมนุษย์เป็นเพียงผู้รับเคราะห์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ(หรือมี?)
ช่วงแรกเหมือนย้อนกลับไปหาภาคแรกอย่างไม่ผิดเพี้ยน แค่จับปรุงแต่งให้กระชับและเสริมหลายๆอย่างว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก บางคนเริ่มตระหนักและรู้การมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวตัวนี้ ฉะนั้นจะทำเป็นไม่รู้มาก่อนไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากเคยบุกมาแล้วในปี 1987 (ภาคแรก) และ 1997 (ภาคสอง) ทำให้ครั้งนี้ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือเพื่อจับพรีเดเตอร์มาใช้กรณีศึกษา แน่นอนการจับเป็นผู้ล่าย่อมไม่ต่างกับเข้าหาความตาย ตัวละครต่างตายเป็นว่าเล่นและสยดสยองกันทุกคน(แต่ไม่วายใส่ความตลกร้ายจนรสชาติความน่ากลัวเลือนหาย)
การคัดเลือกตัวละครให้มีคาแรคเตอร์เพี้ยนเพื่อตอบโจทย์มุขตลกนับว่าแปลกและน่าสนใจ เพราะพรีเดเตอร์คือเอเลี่ยนต่างดาวที่ไม่เหมือนมนุษย์ การเอาคนธรรมดาไปสู้อาจดูธรรมดาหรือไม่น่าสนใจแบบใน Predators (2010) ฉะนั้นการเลือกกลุ่มคนที่สติเต็มบ้างไม่เต็มบ้างช่วยสร้างสีสันและความไม่แน่นอน แม้มิติตัวละครจะรั่วและราบเรียบ แต่อย่างน้อยสไตล์ของแต่ละคนพอเรียกความน่าสนใจและความสดใหม่ได้เป็นอย่างดี
หลายอย่างเดาทางง่ายและยากพอกันกับบทบาทของ Olivia Munn ที่รับเป็น เคซีย์ บราเค็ท นักวิทยาศาสตร์ที่พกความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น สร้างความแปลกใจว่าไปเอาความเก่งนี้มาจากไหน เพราะด้วยทักษะและความกล้าที่มีล้วนทำให้ตัวละครชายหลายคนต้องตกรองทันที แต่นั้นเป็นข้อดีที่ชอบมากอย่างหนึ่งเพราะเดินเรื่องเร็วและไม่มีตัวละครหรือเรื่องราวให้ยืดเยื้อ ถือว่าใช้ตัวละครได้คุ้มกับเส้นเรื่องที่ไปไวมาไว
หลายคนบอกบ่นเนื้อเรื่องภาคนี้มีความ"กาว" แต่ละอย่างเอาฮาเอาเพี้ยนเต็มไปหมด มองเป็นข้อเสียที่ไม่สมเหตุสมผลหรือยอมรับเพราะแตกต่างจากภาคก่อน(มาก) แต่มองเป็นข้อดีเพราะเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ เนื้อเรื่องแปลก ตัวละครไม่ปกติ ทุกอย่างเข้าขั้นพิศดารกับความตลกร้าย ยิ่งการตายของตัวละครบางตัวยิ่งต้องอุทานเสียงหลงอย่างน่าตกใจ เพราะเกินคาดมากมายมหาศาล ใครจะไปคิดว่าคนจะตายก็ตายกันดื้อๆ (ถ้าไม่เชื่อลองจับตาดูช่วงท้ายๆจะพบการตายเพียงหันไปมองเป็นเช่นไร)
The Predator ภาคนี้มาแปลกตาแปลกใจไปหมดเกือบทุกอย่าง สิ่งที่ชอบคือความเซอร์ไพรส์ที่หลุดจากทุกภาคที่เคยดูมา ยิ่งตอนจบเดาไม่ถูกว่าเนื้อเรื่องภาคต่อจะเป็นเช่นไร เพราะมาไกลเกินกู้กลับอย่างเดิม อย่างน้อยคงเอาไว้ดนตรีประกอบและอารมณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็เพียงพอให้อยากดูต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ก็ได้แต่หวังการขยายเนื้อเรื่องที่จะขยับไปได้อีกอีกกี่ก้าว เพราะก้าวในภาคนี้ขยับจากที่เราคุ้นเคยให้หลุดจากกรอบได้สักที