First Man (2018) มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์

First Man (2018) | มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์
Director: Damien Chazelle
Genres: Biography | Drama | History
Grade: A

"นีล อาร์มสตรอง"คือชายคนแรกที่เหยียบดวงจันทร์ แต่กว่าจะถึงจุดนั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง สิ่งเหล่านี้น้อยนักที่หาได้ในชั้นเรียน นอกจากหาดูสารคดีที่บางครั้งไม่ได้รับความสนใจเพราะอยากรู้แค่ไปดวงจันทร์ได้อย่างไร ขณะที่ตัวเขาเป็นที่กล่าวถึงเพียงชื่อแค่นั้น โอกาสที่จะสัมผัสว่าเขาคือใครและทำอะไรแทบจะน้อยมาก ความเป็นอยู่และหน้าที่มีบทบาทมากน้อยแค่ไหนในชีวิตประจำวัน


หนังชีวประวัติของชายที่เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกที่น่าจะมีอะไรมากกว่าชายเพียงหนึ่งคน ทว่าทั้งหมดทั้งมวลเล่าให้เห็นชีวิตของนีล อาร์มสตรอง แทนที่จะเล่าโดยรวมถึงการแข่งขันระหว่างโซเวียตกับอเมริกา หรือความเห็นของสังคมที่มองเป็นเรื่องสิ้นเปลือง หรือภาพลักษณ์เชิดชูชาวอเมริกัน หรือเรื่องต่างๆที่นอกเหนือจากชีวิตส่วนตัวล้วนเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น ถึงเป็นเรื่องระดับประเทศที่สำคัญแค่ไหน สุดท้ายก็เทียบไม่ได้กับความมุ่งมั่นของชายหนึ่งคนอยู่ดี

ไม่ดุเดือดเท่า Whiplash (2014) หรือสะเทือนอารมณ์เท่า La La Land (2016) แต่เหมือนเป็นทั้งสองอย่างมารวมกันแล้วจับให้ดูเป็นกลาง ทุกอย่างดูเป็นจริงเป็นจังตลอดทั้งเรื่อง ไม่ใช่การถกเถียงหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มีการคำนวณฟิสิกส์ที่น่าปวดหัว ทุกกระบวนการความคิดล้วนถูกข้ามเกือบหมด คงเหลือไว้เพียงคำถามและคำตอบที่เดี๋ยวถูกเดี๋ยวผิด แสดงถึงความยากลำบากกว่าจะสำเร็จได้


Ryan Gosling รับบทเป็น นีล อาร์มสตรอง ด้วยการแสดงอันธรรมด๊าธรรมดาจนเหมือนหน้าตายทั้งเรื่อง ทว่าหนักแน่นในความนิ่งราวกับแบกรับทุกอย่างไว้กับตัวเพียงคนเดียว ทำให้นึกถึงหนังหลายเรื่องที่เล่นอย่าง Drive (2011) ซึ่งบทที่รับมักมาพร้อมกับความเฉยชา ไม่สนใจใครจะเป็นจะตาย กระนั้นลึกๆคือคนที่เก็บซ่อนความรู้สึกและปลดปล่อยออกมาในโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น

สำหรับนีลคือชายที่ทำตัวเองให้มีภาระ จะอยู่อย่างสบายไม่ต้องลำบากเพื่อเป็นนักบินอวกาศก็ยังได้ เพราะชีวิตมีพร้อมเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะครอบครัวที่รักเขาเสมอ แม้ว่าเขาจะให้ความรักกลับไปน้อยมาก เนื่องจากปมการสูญเสียลูกสาวตัวน้อยเพราะปัญหาทางสมอง จากความเสียใจจึงเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองสู้มาเรื่อยๆ กระนั้นต้องแลกกับเวลาที่อยู่กับครอบครัวที่ลดน้อยลงไป ความสัมพันธ์เริ่มห่างเหินจนกลายเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ถ้าไม่ใช่เพราะความเชื่อมั่นและความรักที่มอบแกกันคงได้จากกันไปนานแล้ว


First Man ถ่ายทอดเรื่องราวของนีลได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะรู้ว่ามากไปเพราะตลอดทั้งเรื่องเหมือนหนังไว้ทุกข์ ตัวละครแต่ละคนจะมีอารมณ์กลางๆ ไม่ดีใจหรือทุกข์แบบชัดเจน ไม่เว้นแม่แต่การกลับมาจากดวงจันทร์ที่ใครหลายคนรู้กันดีว่าภารกิจสำเร็จตามประวัติศาสตร์ ภาพควรตัดมาที่การเฉลิมฉลอง แต่กลายเป็นเขาต้องอยู่ในห้องกักกันเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากดวงจันทร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยคนที่เข้ามาหาแล้วมองผ่านกระจกกั้นคือเจเน็ต (Claire Foy) ภรรยาที่สละทุกอย่างเพื่อให้ความสำเร็จเป็นจริง

อีกคนที่มีความเสียสละไม่ต่างกันคือเจเน็ต ซึ่งเธอต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต อาจเป็นหม้ายในตอนสุดท้ายเพราะสิ่งที่คนรักปรารถนานั้นเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น การจะขึ้นสู่อวกาศโดยทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลังเป็นใครจะยอมรับได้ สภาวะจิตใจของคนสองคนจึงต้องมุ่งมั่นและแข็งแกร่ง จากในเรื่องแสดงถึงการไม่ห้ามหรือยับยั้ง แม้ในใจจะไม่พอใจก็ยังเคารพความคิดของอีกฝ่าย จะต่างกันกันที่นีลยังกลัวความไม่แน่นอนว่าจะสำเร็จจริงหรือไม่ การที่เจเน็ตมาขอร้องให้นีลพูดคุยกับลูกๆเพื่อปรับความเข้าใจโดยที่เขาไม่กล้าจึงเป็นช่วงเวลาที่โศกเศร้าและน่าหวาดกลัวที่สุด


การที่หนังไม่ทำให้ดูเป็นการเชิดชูชาวอเมริกันทำให้ทุกอย่างดูเป็นจริงกับชีวิต ทุกอย่างไม่ได้ง่ายและเต็มไปด้วยการเสียสละ รวมถึงการไม่ยอมรับจากสังคมที่คอยโจมตีและประท้วงถึงความไม่จำเป็น "เราไปดวงจันทร์เพื่ออะไร" "งบใช้ไปกับจรวดเหล็กดีกว่าเอามาบริหารประเทศยังไง" ประเด็นเหล่านี้เป็นเพียงจุดเล็กจุดน้อยที่เสนอมาในหนัง ทว่าตอบโจทย์คนรุ่นหลังให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ให้ผลลัพธ์ยังไงบ้าง

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)