Halloween (2018) | ฮาโลวีน | B+
Director: David Gordon Green
Genres: Crime / Horror / Thriller
ถ้าไม่ใช่คนชอบของเก่าอาจไม่เข้าถึงภาคนี้ เพราะหลายอย่างหยิบมาเพื่อให้นึกภาคก่อนๆ โดยเฉพาะภาคแรกปี 1978 ที่เป็นภาคต่อโดยตรงจากภาคนี้ เท่ากับภาคต่อตั้งแต่ภาค Halloween II (1981) เป็นต้นไปล้วนไม่เคยเกิดขึ้นทั้งสิ้น รวมถึงภาครีเมคและรีบูตที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เป็นการล้างเหตุการณ์ทั้งหมดเพื่อสร้างเนื้อเรื่องใหม่ที่แตกต่างไปอีกแบบ
จากการที่ Halloween ภาคนี้มีนื้อเรื่องต่อจากปี 1978 ทำให้เกิด Timelines ที่ 4 ขึ้นมา ดังนี้
1.Halloween 1,2,4,5,6 (1978,1981,1988,1989,1995)
2.Halloween 1,2,H20,Ressurection (1978,1981,1998,2002)
3.Halloween 1,2018 (1978,2018)
4.Remakes (2007,2009)
ส่วน Halloween III: Season of the Witch (1982) ไม่นับรวมอยู่ในเหตุการณ์หรือจักรวาลใดทั้งสิ้น เนื่องจากไม่มีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือพูดถึงไมเคิล ไมเยอส์ แค่หยิบยืมชื่อหนังและมีช่วงเวลาเกิดขึ้นในวันเทศกาลฮาโลวีนเหมือนกันเท่านั้น
เป็นข้อดีที่สร้างโดยตรงจากภาคแรก เพราะคงเป็นไปได้ยากในการหาเหตุผลมาเชื่อมกับภาคต่อที่ไม่รู้จะต่อเนื่องกับฉบับไหนดี เนื่องจากไมเคิล ไมเยอส์ กลายเป็นอมนุษย์เหนือคนไปหมดแล้ว ยิ่งฉบับแรกมีการโยงใยไปถึงลัทธิมนต์ดำยิ่งแล้วกันใหญ่ ฉะนั้นการต่อโดยตรงกับต้นฉบับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในการให้เหตุผลที่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งเหตุการณ์ต่อจากนี้จะพูดถึง 40 ปีให้หลังนับจากเหตุการณ์ภาคแรกหรือปี 1978 เมื่อไมเคิล ไมเยอส์ถูกจับส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวชและหลุดออกมาได้สำเร็จ
เตรียม Remind บ้างเอาไว้ก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงจะมีการย้อนความให้กระจ่างแจ้งแค่ไหนอาจทำคนที่ไม่เคยรับรู้ภาคแรกมาก่อนงงได้เช่นกัน แล้วไหนจะเสน่ห์การฆ่าอันเป็นเอกลักษณ์ยิ่งต้องจับจุดตรงนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่ต่างไปจากหนังฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่าหลงยุคกับพล็อตเชยๆที่ไม่มีความหมายใดอยู่เลย เช่นเดียวกันการกลับไปดูภาคแรกใช่ว่าทุกคนจะสนุกเพราะหลายอย่างถูกหยิบยืมไปเกือบหมดแล้ว ฉะนั้นเป็นไปได้อยากให้จินตนาการในสิ่งที่เกิดขึ้นในยุค 70S-80S เพราะเป็นความสดใหม่ในช่วงเวลานั้น
ไมเคิล ไมเยอส์ ไม่ใช่ตัวละครเดียวที่กลับมา แต่รวมถึงลอรี สโตรด คนที่รอดชีวิตจากภาคแรกและเสมือนเป็นตัวแทนของเรื่อง ซึ่งคนที่ยังรับนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไหน แต่ยังเป็น Jamie Lee Curtis คนเดิม และครั้งนี้กลับมาได้ดุเดือดกว่าภาคไหนๆเพราะกลายเป็นสาวแกร่ง เตรียมพร้อมรับมือการกลับมาของไมเคิล ไมเยอส์ ไม่ว่าจะอาวุธปืนหรือบ้านล้วนจัดแต่งมาเฉพาะงานนี้โดยเฉพาะ ฉะนั้นช่วงไคล์แม็กซ์จะกลายเป็นหนังแอ็คชั่น-ระทึกขวัญ ไม่วิ่งหนีอีกต่อไป
อารมณ์เหมือนดูภาคเก่าๆที่จับจุดเด่นแต่ละภาคมารวมไว้ด้วยกัน ตัวอย่างฉากที่โดดเด่นและกลายเป็นฉากสยองขวัญชวนเสียวคือฉากห้องน้ำ หยิบยืมมาจากภาค H20 อีกทั้งบางฉากมีการดัดแปลงสลับตำแหน่งระหว่างไมเคิล ไมเยอส์ กับ ลอรี สโตรด ในฉากกระเด็นออกจากระเบียงบ้านจากภาคแรก ซึ่งมุมนี้เป็นช่วงเวลที่เห็นได้ชัดของการเอาคืนและสะกิดความรู้สึกดั้งเดิมขึ้นมาทันที เป็นหนังหรือภาคต่อที่เหมาะกับแฟนๆหนังชุดนี้อย่างยิ่ง
สไตล์การฆ่าของไมเคิล ไมเยอส์จะเน้นนิ่งอยู่เสมอ ไม่วิ่งหรือกระโจนเข้าใส่ มาแบบทื่อๆแล้วลงมือทันที จะอาศัยมุมกล้องเป็นส่วนใหญ่ คงไว้เพียงความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมที่ให้จินตนาการถึงความตายเอาเอง เป็นรูปแบบของผู้กำกับ John Carpenter ที่มอบความน่ากลัวผ่านความรู้สึกนึกคิดมากกว่าที่ตาเห็น แต่พอเปลี่ยนเป็นฉบับรีเมคจะเน้นรุนแรง เห็นการฆ่าถึงเลือดถึงเนื้อชัดเจน เป็นโหดที่ผู้กำกับ Rob Zombie มอบให้
ขณะที่ภาคนี้ไม่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ใส่ไว้ทั้งสองอย่าง ทั้งการฆ่าแบบหลบมุมกล้อง คงไว้เพียงเสียงผ่านการกระทำที่รุนแรงเพื่อให้ผู้ชมได้ต่อยอดความสยองนี้ หรือการเห็นตัวละครตายทันทีทันใดโดยไม่ต้องเห็นฉากถูกฆ่า เพื่อให้เกิดความตกใจในชะตากรรมตัวละครอย่างไม่รีรอ และความโหดถึงเลือดถึงเนื้อแบบไม่หลบมุมกล้อง เมื่อผสานทั้งอย่างเข้าไว้ด้วยกันทำให้เป็นหนังสยองขวัญที่รุนแรงทั้งตรงและทางอ้อม
ไมเคิล ไมเยอส์ยังคงเอกลักษณ์ตัวตนเช่นเดิม คือไม่ว่าจะเจ็บจะปวดแค่ไหนจะไม่มีเสียงร้องหรือบทพูดเลยสักประโยค จะทำตัวแน่นิ่ง ไม่วิ่งหรือกระโจนเข้าใส่ แม้เป็นเรื่องน่าฉงนในความเชื่องช้าที่ไม่น่าฆ่าเหยื่อได้ทัน แต่เรื่องนี้ใส่สถานการณ์ให้ตัวละครถูกฆ่าอย่างเข้าใจและสมเหตุผลอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยตัวตนเพิ่มขึ้นว่าเวลาผ่านไป 40 ปีจะมีลักษณะเช่นไร ซึ่งสิ่งที่เห็นคือชายท่าทางสูงอายุคนหนึ่ง ใบหหน้าเป็นเช่นไรยังคงเป็นปริศนา แต่อย่างน้อยทำให้รู้ว่าตัวละครนี้แก่ตามเวลาได้เช่นกัน แม้เรื่องพละกำลังจะไม่ถดถอยไปเลยก็ตาม
Halloween ฉบับนี้น่าจะเป็นฉบับที่น่าประทับใจมากที่สุดนับจากภาคแรก เพราะเนื้อเรื่องดูมีมิติและสมเหตุผลดีกว่าภาคก่อนๆ แม้หลายอย่างยังซ้ำซากกับสูตรหนังที่ตายตัว ทว่าการเล่าเรื่องทำให้ตื่นเต้นและตั้งตารอฉากถัดไป ยิ่งช่วงท้ายเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างไมเคิล ไมเยอส์ กับ ลอรี สโตรด ทำให้ได้ความรู้สึกเก่าๆกลับคืนมาให้มีชีวิตอีกครั้ง ส่วนจะจบลงแบบไหนและใครรอดบ้างเป็นสิ่งที่ลุ้นไม่น้อยเลยทีเดียว