Overlord (2018) | ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
Director: Julius Avery
Genres: Action / Adventure / Horror / Mystery / Sci-Fi / War
Grade: B+
ถึง J.J. Abrams ยืนยันว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวใน Cloverfield แต่อาจเป็นเศษเสี้ยวเหตุการณ์เล็กๆที่ไม่จำเป็นต้องหยิบมาเชื่อมโยงก็ได้ เพราะจากเนื้อหาที่จับมาแทบจะน้อยมากที่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยหนึ่งในปริศนาที่หนังให้ไว้เป็นทดลองของนาซี ซึ่งการทดลองดังกล่าวมีวัตถุดิบเป็นน้ำมันจากใต้ดิน วิธีการคือเอามาสกัดแล้วฉีดเข้าร่างกาย หลังจากนั้นสิ่งที่น่ากลัวได้เริ่มต้นขึ้น
การใส่เรื่องสยองขวัญในหนังสงครามโลกอาจเป็นสิ่งที่ดูแปลกอยู่บ้าง แต่ถ้าทำให้ดูสมเหตุสมผลจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวหลายเท่า เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสัตว์ประหลาดหรือเอเลี่ยนตัวใด หากเป็นมนุษย์อย่างเราๆที่ห้ำหั่นกันเอง ทั้งคิดทั้งหาวิธีต่างๆมากมายเพื่อสยบข้าศึก เกิดการสูญเสียและพลัดพรากไปไม่น้อย แทบจะหาเหตุผลมาอธิบายถึงข้อดีการทำสงครามไม่ได้เลย ยกเว้นเพื่อความสงบสุข ซึ่งนาซีมักถูกเล่าในทางตัวร้ายผ่านการกระทำทุกระดับ นั้นเพราะเป็นผู้แพ้จึงต้องสถานะเช่นนั้น ขณะที่ผู้ชนะคือวีรบุรุษดังพระเอกมาขจัดคนชั่ว
สิ่งที่คาดหวังคือความแปลกใหม่ที่ยอมรับว่าแปลกและมันส์มาก แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงแรกบนเครื่องบินและกระโดดฝ่าดงกระสุนลงพื้นที่แสนตื่นตาตื่นใจ หลังจากนั้นกลายเป็นหนังสอดแนมทำภารกิจลับของทหารอเมริกัน ซึ่งทุกอย่างดูไม่มีอะไรเกินกว่าเหตุ กระทั่ง บอยซ์ (Jovan Adepo) สมาชิกหนึ่งในกลุ่มทหารอเมริกันเผอิญเข้าไปในฐานของนาซีอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้พบและเห็นการทดลองที่แสนอันตรายที่และบ้าคลั่ง
อีกตัวละครที่สำคัญเป็นดังตัวเชื่อมเรื่องคือ โคลอี้ (Mathilde Ollivier) หญิงนักสู้ที่มีอคติกับพวกนาซี เป็นตัวละครมีปมในใจและอุดมการณ์ชัดเจน มีภาพลักษณ์สาวแกร่งเต็มตัว ทำให้เดินเรื่องไปอย่างคล่องตัว ไม่ติดขัดกับความอ่อนแอของตัวละคร แต่อีกนัยหนึ่งคือบทบาทของผู้หญิงที่ทำได้ไม่น้อยหน้าไปกว่าผู้ชาย เพราะในสงครามมักเป็นผู้ชายที่ออกสู้รบ การที่ตัวละครหญิงออกมาต่อสู้โดยไม่กลัวตายไม่ใช่เพื่อครอบครัวอย่างเดียว แต่แสดงให้เห็นว่าเพื่อชาติของตัวเองก็ทำได้เช่นกัน