Escape Room (2019) | กักห้อง เกมโหด
Director: Adam Robitel
Genres: Action | Adventure | Horror | Mystery | Thriller
Grade: C+
เห็นว่าเป็นเกมไขปริศนาในห้องลับก็น่าสนใจทันที แต่ดูแล้วเห็นจะเข้าท่าเพียงห้องแรก หลังจากนั้นหมดเสน่ห์ลงเรื่อยๆ เริ่มไขปริศนาง่ายขึ้นและจบไวเหมือนไม่รู้จะคิดอะไรต่อ บางห้องไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ขอแค่มีทักษะลูบคลำก็รอดแล้ว ทำให้หนังที่ดูเหมือน Saw หรือ Cube เรื่องนี้ดูเป็นเด็กน้อยเมื่อเทียบหลายๆอย่างที่ไม่สุดทาง
ปริศนาวางทิ้งไว้ให้แก้โดยง่าย ทั้งที่แต่ละอย่างแก้ยาก ซึ่งความผิดมาจากตัวละครที่เก่งเกินไป ค่อยจับผิดและประมวลผลอย่างรวดเร็ว แล้วจะตกใจมากกับห้องสุดท้ายที่แก้เกมชนิดที่ว่ากลายเป็นห้องกระจอกไปเลย อุตส่าห์ทำเป็นตัดฉากใช้ตอนเปิดเรื่องให้ดูน่ากลัว แต่ที่ไหนได้คือสปอยล์ที่ไม่ควรเลยด้วยซ้ำ ยกเว้นจะมองการเล่าเรื่องก็ถือเป็นอีกลักษณะหนึ่ง แค่คิดว่ามันชัดเจนเกินไปหน่อย ยังดีที่ไม่จบในทันทีและพร้อมขยายภาคต่อด้วยเรื่องราวที่กว้างขึ้น เกมพอใช้ได้ ตัวละครนี่แหละที่ผิดคาดที่สุด โดยเฉพาะการหาช่องทางอธิบายถึงที่มาที่ไป ทำไมได้รับเชิญเข้าร่วมเกมนี้ ซึ่งความคิดแรกต้องเป็นคนเก่งชอบแก้ปริศนา เนื่องจากบัตรเชิญถูกส่งมาในรูปแบบกล่องไม่มีที่เปิด ต้องจับต้องเคาะอะไรหลายอย่างเป็นขั้นตอนถึงจะมีบัตรเชิญ ตรงนี้จึงมองว่าคนธรรมดาไม่น่าจะทำได้หรือให้ความสนใจกับกล่องที่ไร้ชื่อผู้ส่ง เว้นแต่มีความอยากรู้อยากเห็นนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ผู้ร่วมเล่นเกมมีทั้งหมด 6 คน ได้แก่ โซอี้ เดวิส (Taylor Russell),เบน มิลเลอร์ (Logan Miller),เจสัน วอล์กเกอร์ (Jay Ellis),ไมค์ โนแลน (Tyler Labine),อแมนด้า ฮาร์เปอร์ (Deborah Ann Woll) และ แดนนี ข่าน (Nik Dodani) ในจำนวนนี้จะมีตัวละครหนึ่งที่น่ารำคาญมาก ทำเป็นเก่งและรู้เรื่องทั้งหมด ร่วมถึงกฎกติกาและวิธีการต่างๆ แต่พอเข้าจริงทำอะไรไม่ได้เลย มีดีแค่พูดให้คนอื่นรับรู้เท่านั้น ซึ่งเป็นการดีมากที่กำจัดตัวละครนี้แต่เนิ่นๆ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่มีปูมหลังให้เล่ามากนัก แต่ละคนมาจากทั่วสารทิศ เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน จึงฉงนใจการเลือกผู้เล่นเกม จนมาเฉลยเหตุผลให้ฟังก็รู้สึกง่ายเกินไป น้ำหนักการเลือกไม่สมเหตุสมผล แต่พอขยายความอีกหน่อยก็พอฟังขึ้นอยู่บ้าง ทว่ายังรู้สึกทะแม่งๆอยู่ดี กระนั้นเหตุผลที่มาของเกมยังไม่เท่าปูมหลังตัวละครที่กระชับเกินไป เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่น่าจะมีผลกระทบทางอื่นบ้าง เรื่องราวจึงดูคับแคบเพราะตัวละครแต่ละตัวไม่อาจเชื่อมโยงถึงกันได้
ถึงจะไม่ค่อยชอบในหลายๆอย่าง อย่างน้อยที่ชอบคือการออกแบบแต่ห้องให้แตกต่างราวกับคนละสถานที่ รูปแบบปริศนาจึงปรับเปลี่ยนไปทุกห้องไม่ตายตัว แล้วที่ทำให้สนุกคือการดำเนินเรื่องไม่ชวนน่าเบื่อ ใส่ความลุ้นชวนตื่นเต้นตลอดเวลา ทำให้สิ่งที่ดูธรรมดาและน่าติเตียนออกมาไหลลื่น เสียดายที่เน้นทริลเลอร์มากไปหน่อย จังหวะความสยองจึงไม่มีอยู่เลย แต่เป็นข้อดีขายรูปแบบเกมมากกว่าฉากนองเลือดให้สมเป็นเกมไขปริศนา