The Grey (2011) | ฝ่าฝูงเขี้ยวสยองโลก
Director: Joe Carnahan
Genres: Action | Adventure | Drama | Thriller
Grade: B+
"Once more into the fray
Into the last good fight I’ll ever know.
Live and die on this day."
จอห์น ออตเวย์ (Liam Neeson) หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตก ต้องเอาตัวรอดท่ามกลางพายุหิมะพร้อมกับคนอื่นที่เหลือรอด ซึ่งไม่ใช่แค่ความหนวเหน็บติดลบที่กำลังบั่นทอนกำลังใจ แต่รวมถึงเสบียงอาหารและที่พักที่ไม่อาจหาได้โดยง่าย การเดินทางเพื่อหาทางรอดจึงเริ่มต้นขึ้น โดยที่พวกเขาต้องห้ามหยุดพักเพราะฝูงหมาป่าที่จ้องเขมือบตามหลังตลอดเวลา
ไม่แน่ชัดหรือมองข้าม ทำให้ไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุของเครื่องบินตก แต่หนังก็พยายามบอกสภาพแวดล้อมโดยรวมถึงความเลวร้ายอยู่ระดับหนึ่ง ฉะนั้นสิ่งสำคัญจึงตกอยู่ที่รอดยังไงให้นานที่สุด จะอยู่ยังไงโดยไม่มีอาหารประทังชีวิต จะพักที่แห่งไหนในเมื่อมีแต่หิมะ การหยิบสิ่งสำคัญต่อความอยู่รอดมาใช้ยังไม่หนักแน่น จะมาหนักเรื่องหมาป่าเพราะเครื่องบินตกในอาณาเขตของมัน ทำให้หมาป่าล่าคนตามสัญชาตญาณ หมาป่าไม่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยนัก แต่ความน่ากลัวขยายไปทั่วทั้งเรื่องเหมือนยืนรอขู่อยู่ตรงหน้า จะพุ่งเข้ากัดเมื่อไรก็ยังได้ ทั้งเรื่องจึงดูระแวงระวังตลอดเวลา โดยเฉพาะฉากตอนกลางคืน ซึ่งจะมีอยู่ฉากหนึ่งแสดงแววตาที่สะท้อนผ่านเปลวไฟชวนให้ขนลุก จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด และเพิ่มจำนวนมากขึ้นท่ามกลางความมืด เห็นแล้วหดหู่ที่ต้องมาพบชะตากรรมเช่นนี้
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"
สิ่งที่ชอบคือเรื่องราวในอดีตของจอห์นที่ขมขื่น ตัวหนังจะไม่อธิบายให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ รู้แค่จอห์นหมดความอยากใช้ชีวิต ถึงขนาดคิดฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้ายไม่ทำและจมปลักกับเรื่องเก่าๆ ทว่าความเศร้าที่กัดกินหัวใจกลายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ทำหลังเครื่องบินตก เขาพยายามหาทางเอาตัวรอดพร้อมกับพรรคพวก ทั้งที่สามารถจบชีวิตตัวเองให้ฝูงหมาป่าตรงนั้นทันทีก็ยังได้
สิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบ ต่อให้ดูสมเหตุสมผลก็คือความสามารถของจอห์น ตลอดทั้งเรื่องมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีสติและความคิดในการเอาตัวรอดดีกว่าทุกคน รวมถึงการเสนอแนวทางต่างๆจนคนอื่นแทบไม่ต้องคิดเห็นอะไรเลย คนอื่นจึงมีบทบทที่น้อยมาก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นเหยื่อให้กับหมาป่าทีละราย เป็นไปได้อยากให้ตัวละครอื่นมีทักษะเอาตัวรอดบ้าง หรือปมของแต่ละคนให้ผูกพันกับคนดูก็ยังดี
Unclear ฉากจบที่เหมือนตัดจบเอาซะดื้อๆ ใครไม่ทันตั้งตัวคงพากันไม่พอใจเพราะลุ้นมาทั้งเรื่อง แต่จบแบบไม่ยอมบอกชะตากรรมต่อไปของจอห์นว่าอยู่หรือตายกันแน่ ขนาดเสริมด้วยฉาก After Credits ยังไม่ชัดเจนหรือบอกอะไรได้เลย ส่วนตัวมองว่าไม่สำคัญว่าอยู่หรือตาย แค่เห็นตัวละครที่ท้อแท้เปลี่ยนเป็นฮึดสู้ในวินาทีสุดท้ายก็เหมือนหลุดพ้นจากชีวิตที่เศร้าหมอง จะใช้ชีวิตหรือตายในวันนี้ หากเป็นการต่อสู้ที่ดีก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว
การรอดจากเครื่องบินตกเหมือนโกงความตายไปแล้วครั้งหนึ่ง การฆ่าตัวตายก็เช่นเดียวกันเพราะไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ ดังนั้นการที่จอห์นยังได้รับโอกาสให้ยืนหยัดอยู่ต่อก็เพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตตัวเอง ซึ่งบ่อยครั้งจะมีฉาก Flashback เล่าในลักษณะหลวมๆก่อนมาถึงฉากจบได้เติมรายละเอียดเล็กน้อยจนไม่ต้องบอกก็เข้าใจความรู้สึกในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างดี แล้วนั้นจึงเป็นฉากที่บอกหมดทุกอย่างในคราวเดียว จอห์นสูญเสียคนรักและมีปัญหาในตอนเด็กเรื่องพ่อ แต่เขากลับเป็นฝ่ายได้รับกำลังใจเสียเองผ่านคำพูดจากคนรักและบทกลอนของพ่อ