Dark Phoenix (2019) | เอ็กเม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์
Director: Simon Kinberg
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi
Grade: C
ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง แต่เผอิญหนัง X-Men เป็นหนังที่ดีตั้งแต่ภาคแรกและเรื่อยมาตลอด แม้บางภาคจะถูกมองเป็นสิ่งเลวร้ายอย่าง X-Men: The Last Stand (2006) ที่มีตัวละครมากมายและประเด็นที่จับยัดใส่อย่างเดียว ทำให้ดูล้นทะลักเกินกว่าจะกลับมาเก็บรายละเอียดได้หมด หรือ X-Men Origins: Wolverine (2009) ที่ดูธรรมดาและผิดเพี้ยนจนไม่เป็นที่จดจำ
มีคุณภาพก็ย่อมมีเสียกันบ้าง ซึ่งวิธีแก้ปัญหาเห็นได้จาก X-Men: First Class (2011) พาไปทำความรู้จักกับเอ็กเม็นรุ่นแรก ต้นกำเนิดและสาเหตุมาจากไหน ตัวละครเป็นยังไง ทุกอย่างมีมิติและการเล่าเรื่องกระฉับกระเฉง ต่อมาThe Wolverine (2013) ได้แสดงความปุถุชนผ่านเชื้อชาติและวัฒนธรรม และที่เหนือกว่านั้นคือ X-Men: Days of Future Past (2014) ที่ต้องการสมานเนื้อเรื่องใหม่เพื่อลบล้างข้อผิดพลาด เป็นการเล่นกับเวลาที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนดูสดใหม่และเต็มที่อย่างมาก
เสน่ห์อย่างหนึ่งที่หนัง X-Men จะพกติดตัวมาด้วยคือการผสมผสานสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เช่น ประวัติศาสตร์ การเมือง ปัญหาสังคม เชื้อชาติ สีผิว ชนชั้น และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ X-Men ดูเป็นมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ ทุกอย่างดูจริงจังและส่งผลกระทบได้จริง เสมือนเหตุการณ์สมมติหากมีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ หรือ มิวแทนท์ (mutant) ขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง
ประเด็นสังคมสอดแทรกอยู่เสมอ แม้บางภาคจะดูแย่ในสายตาแฟนการ์ตูนมาร์เวลหรือกับใครก็ตาม ทว่าไม่อาจปฏิเสธปมประเด็นที่คอยจุดชนวนให้คิดอยู่เสมอ ทำให้ทุกภาคจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อมาเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่าภาคนี้ทำให้ทุกอย่างถูกดูดกลืนหายไปเกือบหมด เสมือนต้นเรื่องที่ จีนเกรย์ (Sophie Turner) ดูดซับพลังเก็บไว้ที่ตัวเองคนเดียว ทำให้พลังหรือปมไม่ได้ไปไหนและถูกกักเอาไว้แค่นั้น สิ่งที่ X-Men: Apocalypse (2016) พยายามปูทางมาก็ดูไร้ความหมาย
ตอนที่ Disney ซื้อ Fox ทำให้เห็นชะตากรรม X-Men ฉบับนี้กับการรีบูทเพื่อรองรับจักรวาลมาร์เวล ฉะนั้นภาคนี้ที่เสมือนภาคสุดท้ายจึงมีความคาดหวังที่จะปิดได้อย่างทรงพลังและชวนน่าคิดถึง (ขณะที่เรื่องสุดท้ายจริงๆคือ The New Mutants (2020) แต่ถูกเลื่อนกำหนดฉายบ่อยครั้งจนเป็นที่หลงลืม)
ตอนดู Logan (2017) ทำให้เห็นความกล้าในการเล่าเรื่องที่ต่างจากทุกภาค โดยเฉพาะความซื่อตรงของตัวละครกับวิธีเล่าเรื่องที่แสดงความโหดดิบเถื่อน ฉะนั้นโลกที่มีความหวังมาก่อนจึงดูหดหู่ อีกทั้งเป็นการอำลานักแสดง Hugh Jackman ที่ผูกบทเป็น วูล์ฟเวอรีน ตั้งแต่ X-Men (2000) จนเป็นที่ติดตาอย่างไม่มีใครแทน ซึ่งหนังทำดีมีคุณภาพสมกับปิดฉากได้อย่างสมศักดิ์ศรี แน่นอนว่าอยากให้เป็นแบบนี้บ้าง แต่ทิศทางช่างสวนกันเหลือเกิน
Dark Phoenix เต็มไปด้วยความพยายามทำหลายอย่างจนดูฝืนใจตัวละครไปหมด ทำให้ทุกอย่างดูกระโดดและห่างไกลจากคำว่าคุ้นเคย ปมประเด็นที่เคยเสริมให้หนังมีน้ำหนักมาตลอดได้หลุดหายไป ทุกอย่างดูเป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่ไม่อาจเข้าถึงให้ลึกซึ้งเพียงพอ เช่น ชาร์ลส์ เซเวียร์ กับความคลางแคลงที่ต้องการดูแลคนที่มีพลังหรือคนกลายพันธุ์ แต่นั้นอาจต้องแลกกับการใช้พลังเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าสามารถทำอะไรได้บ้างและไม่เป็นภัยต่อประเทศ, อีริค หรือ แม็กนีโต (Michael Fassbender) ผู้มีความแค้นเสมอมา แต่เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่เพราะความแค้นไม่ใช่ทางออก และอีกหลายตัวละครที่บทดูง่ายเกินไป
อีกอย่างที่น่าผิดหวังคือฝ่ายตัวร้ายที่เป็นเอเลี่ยน ไม่มีมิติหรือสิ่งที่ดูแปลกตา มาเป็นสูตรสำเร็จอยากยึดพลังที่จีนเกรย์ดูดซับเอาไว้ บทบาทในเรื่องไม่โดดเด่นจนเป็นตัวประกอบที่มาปล่อยของในตอนท้าย ขนาดให้ Jessica Chastain มาแสดงโชว์หน้านิ่งหวังให้ดูน่าลึกลับก็ไม่อาจดึงความสนใจได้เท่าที่ควร (ถ้าไม่ใส่พลังให้ดูเว่อร์คงไม่มีอะไรให้พูดถึง)
แม้หลายอย่างน่าผิดหวังเพราะความฝืนใจและขัดใจเกือบตลอดทั้งเรื่อง แต่ได้ดีในฉากแอ็คชั่นที่พอหอมปากหอมคอ ยิ่งไคล์แม็กซ์ยิ่งสู้กันมันส์ เนื่องจากเป็นทีมเอ็กเม็นที่ไม่สมบูรณ์หรือวางแผนเตรียมพร้อมมาก่อน การแก้สถานการณ์จึงเดี๋ยวนั้นทันที เหตุนี้เองทำให้เป็นทีมมากขึ้นหลังจากปรับความเข้าใจกันแล้ว ตัวละครที่เป็นศัตรูมาก่อนได้ร่วมต่อสู้ ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจ แม้ดูเชยก็เข้าทางสำหรับหนัง X-Men ภาคสุดท้าย (ถึงจะง่ายและไม่ซาบซึ้งเลยก็ตาม)
ในความแย่ของหนังก็ใช่ว่าจะไม่มีดีซ่อนอยู่ ในที่นี่ขอยกให้กับ Soundtrack ประพันธ์โดย Hans Zimmer ที่ฟังแล้วโดดเด่นและแปลกจากหนัง X-Men ที่แล้วๆมาตรงที่ซ่อนด้านมืดเอาไว้ ได้ยินแล้วมีความลึกลับผสมกับความน่ากลัวที่ต้องการเอาจริงอย่างไม่เกรงใจใคร ทำให้สอดคล้องกับจีนเกรย์ที่มีพลังจิตแรงกล้าและร้อนแรงดุจฟีนิกซ์ ถ้าขาดดนตรีประกอบเหล่าแล้วตัวหนังจะขาดความหนักแน่นทันที