Bad Boys for Life (2020) | คู่หูขวางนรก ตลอดกาล | B+
Director: Adil El Arbi, Bilall Fallah
Genres: Action | Comedy | Crime | Thriller
ทิ้งห่างจากภาคก่อนนานตั้ง 17 ปี จะให้ระลึกถึง Bad Boys (1995) และ Bad Boys II (2003) คงจำความรู้สึกที่มีตอนนั้นไม่ได้ แน่นอนที่สุดคือหนังแอ็คชั่นคู่หูตำรวจผิวสีที่ดุเดือดและมันส์มาก โดยเฉพาะการต่อคำพูดและวิธีการที่ไม่เกรงใจในวิชาชีพตำรวจสมกับ Bad Boy
ไมค์ (Will Smith) และ มาร์คัส (Martin Lawrence) ยังต้องปราบปรามคนร้ายเช่นเคย แต่คราวนี้มาพร้อมกับประเด็นสิ่งที่ควรทำจากสภาพร่างกายที่มีอายุมากขึ้นคือการเกษียณ กลับไปใช้ชีวิตของตัวเองแล้วเลิกทำอะไรเสี่ยงๆ แน่นอนว่าต่างคนต่างมีเหตุผลที่จะไปต่อหรือพอแค่นี้ กระนั้นความตั้งใจที่จะเลิกไม่อาจทำได้ทันทีเพราะมีคนร้ายตามเก็บเจ้าหน้าที่อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายใดๆเลย
ผลงานของผู้กำกับ Michael Bay ที่ภาคนี้ไม่ได้ทำเอง แต่ความรู้สึกหลายอย่างยังสัมผัสได้ถึงอารมณ์เดิมๆไม่น้อย ทั้งมุมกล้องที่ทำให้ตัวละครดูเท่ คำพูดปลุกเร้าอารมณ์ให้ลุกขึ้นสู้ บรรยากาศที่ดูหนักแน่น ทุกอย่างดูเกิดมาเพื่อสนองความรู้สึกเพื่อให้หนังพล็อตธรรมดามีค่าจับต้องได้ ดังนั้นภาคนี้จึงไม่แปลกหรือแตกต่างทั้งที่ผู้กำกับคนละคน (หรือเบื้องหลังแอบมาช่วยหรือเปล่าก็ไม่รู้) ในทางกลับกันหลายคนเถียงกลับถึงความไม่เหมือนเดิมเลยด้วยซ้ำ
เสน่ห์ที่ทำให้ติดตาติดใจคือนักแสดงที่ต้องรับบทคู่หูตำรวจระหว่าง Will Smith กับ Martin Lawrence ที่เข้าขากันได้อย่างเพลิดเพลิน ทั้งที่ทั้งสองต่างมีหลายสิ่งที่ต่างกันแท้ๆ นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นกับหน้าตาที่เปลี่ยนไปก็แทบดูไม่ออกถึงความชรา ยังให้อารมณ์ของคนหนุ่มเช่นภาคแรกที่เก๋ายังไงก็เป็นเช่นนั้นเสมอ
จุดขายนอกจากเคมีนักแสดงนำที่เข้ากันมากๆแล้วคือมุกตลก มีหลายครั้งที่แป้กและหลายครั้งที่ตลกได้โล่ ซึ่งความฮามาจากสถานการณ์ที่ควรซีเรียส เช่น ฉากนั่งรถพ่วงข้างที่ต้องไล่ล่าบนท้องถนน ทว่ามานั่งเถียงไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉากเจรจานักบัญชีขี้ยากับวิธีเข้าถึงจิตใจ แต่ได้หมัดมากินเสียแทน และอีกหลายฉากที่พร้อมใส่มุกตลกเป็นระยะๆ
ข้อดีของมุกตลกจากที่เห็นคือเป็นกันเอง เหมาะกับคนที่เข้าถึงตัวละครแล้วจะฮาอย่างมาก แต่ข้อเสียเสียคือกันเองเกินไปจนไม่เข้าใจว่ามีไว้ทำไม ถ้าให้ลองคิดในแง่ของคนสองคนที่รู้จักกันจะคุยกันให้ตัวเองเข้าใจไม่ใช่เรื่องแปลก ปัญหาคือคนนอกจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน การได้เห็นต่างคนต่างแซวบางทีไม่ได้น่าหัวเราะขนาดนั้นด้วยซ้ำ ทำให้ความละเอียดอ่อนที่อยากให้สัมผัสความสัมพันธ์กลายเป็นเรื่องรำคาญได้อยู่เหมือนกัน
เนื้อเรื่องไม่ค่อยเท่าไร แต่ประเด็นมีความน่าสนใจเกี่ยวกับตอนจบที่อุตส่าห์ทิ้งเชื้อวางแผนให้มีภาคต่ออย่างดิบดี แทนที่จะลุ้นจากเสียงวิจารณ์และรายได้ที่ดีทั้งคู่ กลับกลายเป็นวางตัวละครใหม่ที่จะเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นการเกริ่นเรื่องเกษียณกลายเป็นความย้อนแย้งที่ตกลงแล้วจะต่อหรือเลิกกันแน่ แม้บทสรุปจะออกมาในตอนจบให้สานต่องานไปเรื่อยๆจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคู่มลายหายไปก็ตาม (แต่บอกง่ายไปหน่อยป่ะ)
Bad Boys for Life (2020) ยังเป็นหนังแอ็คชั่นที่สนุก ต่อให้ใครหลายคนติดใจภาคแรกมากกว่าก็ตาม ส่วนหนึ่งคิดว่ามาจากที่ตัวละครเติบโตมากแล้ว ความห้าวขาลุยจึงลดลง อีกทั้งยังมีคนรุ่นใหม่พร้อมกับวิธีการใหม่ๆอย่างการนำเทคโนโลยีมาใช้ ทำให้แต่ละอย่างไม่ระห่ำเดือดสักเท่าไร แต่ฝีปากและการกัดจิกกันเองยังแสบมันส์ไม่เปลี่ยน ส่วนตัวแล้วไม่ผิดหวังและชอบมากเสียด้วย แค่ติเล็กๆน้อยๆที่ไม่เท่าไรเลย