Sonic the Hedgehog (2020) | โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก | B-
Director: Jeff Fowler
Genres: Action | Adventure | Comedy | Sci-Fi
ในส่วนของเกมนั้นเล่นบ้างเป็นบางภาค ไม่ได้ติดตามเป็นจริงเป็นจังเท่าไรนัก แต่ทุกครั้งที่ได้เล่นล้วนสร้างความสนุกและฝึกสมองไม่ใช่น้อย ซึ่งการสร้างเป็นหนังนั้นในตอนแรกยังลุ้นอยู่ว่าจะออกมาลักษณะไหน จนกระทั่งตัวอย่างแรกได้ปล่อยมาพร้อมกับความผิดหวังมหาศาลของแฟนๆทั่วโลก โดยเฉพาะหน้าตาโซนิคที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์มากเกินไป ทำเอาทีมงานต้องกลับไปแก้ไขกันยกใหญ่ก่อนจะได้คำชมที่เหมือนกับต้นฉบับ
เนื้อเรื่องจะพูดถึงโซนิคที่ใช้ชีวิตบนโลกอย่างลับๆ แต่เกิดพลั้งมือปล่อยพลังงานมหาศาลจากตัวเองมากเกินไป ทำให้เป็นที่สงสัยของรัฐบาลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมไปถึงอัจฉริยะอย่าง ดร.โรบอทนิค (Jim Carrey) ที่อยากจะจับโซนิคมาทดลองเพื่อประดิษฐ์ผลงานใหม่ๆ ทำให้ ทอม (James Marsden) นายตำรวจที่บังเอิญจับพลัดจับผลูต้องช่วยโซนิคก่อนที่ตกอยู่ในมือคนร้าย
จุดเด่นของหนังต้องยกความดีความชอบให้กับการแสดงของ Jim Carrey ที่ไม่บ่อยนักจะเห็นเป็นตัวร้าย ซึ่งท่าทางเพี้ยนๆหลุดโลกไม่ได้แตกต่างจากหนังที่เคยแสดงมา กระนั้นกลับชอบที่มีความลงตัวมากกว่า ไม่เพี้ยนจนดูเว่อร์เกินไป แล้วยังปรุงแต่งให้เข้ากับตัวละครที่มีความอัจฉริยะ ไม่ได้โม้หรือดูตลกเกินไป น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีมิติสักเท่าไร มายังไงไปอย่างนั้น
สิ่งที่ทำให้มีมิติคือการสานสัมพันธ์ระหว่างโซนิคกับทอม ระหว่างการหลบหนีไปตามที่ต่างๆจะเห็นการพัฒนาตัวละคร มีการเปลี่ยนแปลงจากต่างฝ่ายต่างถิ่นมาเป็นเพื่อน ฉากผ่อนคลายและแสดงให้เห็นความสนิทสนมคือการเข้าบาร์ ซึ่งเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งของโซนิคที่อยากทำก่อนไปจากโลก (สิ่งที่อยากทำบางข้อมองในแง่ความจริงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมหรือเข้าท่าเอาเสียเลย แต่สามารถร้อยเรียงให้ออกมาเพลิดเพลินสนุกสนาน ต่อให้ชกต่อยด้วยโทสะก็ทำให้ตลกและดูกันเองได้)
ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าทางสูตรสำเร็จ แต่ยอมรับการเล่าเรื่องค่อนข้างดีมีน้ำหนัก แม้บางจุดจะง่ายถึงง่ายที่สุด อย่างไคล์แม็กซ์การเผชิญหน้ากันระหว่างโซนิคกับดร.โรบอทนิค ซึ่งการต่อสู้ของทั้งสองจบลงด้วยวิธีที่ธรรมดาและลำเอียงไปสักหน่อย แต่การไล่ล่าไปตามเมืองต่างๆค่อนข้างสนุกเหมือนได้ตะลุยด่านในเกม (อันที่จริงอยากให้มีแอ็คชั่นมากกว่านี้ เพราะยังไม่หนำใจเลย)
ประทับใจที่หนังสร้างจากเกมแล้วรู้สึกไม่ติดความเป็นเกมมากเกินไป ทำให้เนื้อเรื่องและวิธีเล่ามีความสดใหม่อยู่บ้าง แต่บางทีต้องแลกกับความเชยที่ไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากหนังทั่วๆไป นอกจากนี้ฉากที่ประทับใจคือฉากโซนิคเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนคล้ายหยุดเวลาได้ ทว่าเป็นการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงจนสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างดำเนินผ่านไปช้าๆ และที่เซอร์ไพรส์คือตอนจบที่แอบเนียนมีลุ้นภาคต่อหากประสบความสำเร็จ ซึ่งอยากให้มีจริงๆนะ (ลงทุน $85 ล้าน ทำรายได้ $306 พร้อมเทคะแนนบวกเป็นส่วนใหญ่)