The Invisible Man (2020) | มนุษย์ล่องหน | B+
Director: Leigh Whannell
Genres: Horror | Mystery | Sci-Fi | Thriller
หนังมนุษย์ล่องหนที่ตัวเองรู้จักไม่ใช่ชื่อเดียวกันที่สร้างเมื่อปี 1933 แต่เป็น Hollow Man ในปี 2000 โดยเฉพาะฉากการปรับสภาพร่างกายให้โปร่งใสขึ้นทีละนิด มีการแสดงถึงสภาพผิวหนังที่ค่อยๆหายไป จากนั้นแสดงกล้ามเนื้อและเส้นเลือดตามร่างกาย อวัยวะภายใน ไล่ระดับไปเรื่อยๆจนถึงกระดูก จากสิ่งที่เห็นไม่ต่างกับการเรียนวิชา Anatomy นับเป็นฉากที่น่ากลัวและน่าอัศจรรย์ในเวลานั้นเลยก็ว่าได้
หนังที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ล่องหนมีไม่มาก อีกทั้งเน้นไปทางกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่เสียมากกว่า การจะมาเป็นหนังสยองขวัญคงนับได้ไม่กี่เรื่อง อาจด้วยไม่มีใครมองเห็นได้จึงเสมือนเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ เป็นสิ่งที่อธิบายได้ละเอียดอ่อนกว่านั้น ซึ่งเรื่องเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนหนึ่ง นั้นคือ ซีซิเลีย แคสส์ (Elisabeth Moss) ที่ทุกข์ทรมานใจจนต้องหนีออกจากบ้านเพราะการคุกคามของ เอเดรียน กริฟฟิน (Oliver Jackson-Cohen) คนรักของเธอที่พยายามกดดันการใช้ชีวิตให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ
ผู้กำกับ Leigh Whannell มีพัฒนาการจากหนังเรื่องก่อนอย่าง Insidious: Chapter 3 (2015) และ Upgrade (2018) มากพอสมควร ทำให้เชื่อใจว่า The Invisible Man (2020) จะต้องออกมาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ซึ่งหลังดูจบก็เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูสมเหตุผลและใกล้ตัว มนุษย์ล่องหนที่ดูเหมือนไม่มี แต่รู้สึกว่ามีตลอดเวลา กดดันราวกับถูกจ้องมอง แค่ไม่รู้มองจากไหน
ปริศนาวางไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง การหนีออกจากบ้านเพราะถูกบีบบังคับ สร้างความสงสัยเกี่ยวกับก่อนหน้านี้เป็นอยู่ยังไง เพราะอะไรถึงได้หวาดกลัว คนนี้ได้สร้างบาดแผลอะไรไว้ แม้คำตอบที่ได้จะเป็นฝั่งเดียว แต่มีการยืนยันถึงคนรอบข้างที่บอกถึงนิสัยอันน่ารังเกียจ ชอบคุกคามทำร้ายจิตใจ ปั่นประสาทจนไม่น่าเข้ากับใครได้ กระนั้นสิ่งที่บอกมาก็ไม่มีให้เห็นในหนังอยู่ดีว่าเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน รู้แค่ทุกคนไม่ชอบ เอเดรียน กริฟฟิน
เมื่อ เอเดรียน กริฟฟิน ได้เสียชีวิตลงก็ไม่อาจทำให้ ซีซิเลีย แคสส์ ปักใจเชื่อเต็มร้อย เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหนึ่งในแผนปั่นประสาท ต่อให้มีเอกสารหลักฐานมายืนยันแค่ไหนยังเชื่อว่ามีชีวิตอยู่แน่นอน จากประเด็นคนตายแต่คิดว่าไม่ตาย สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาทันทีคือการเปรียบเทียบการล่องหนหรือสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นวิญญาณ บางทีอาจตายแบบมีความอาฆาต ทำให้มาตามหลอกหลอน หรือยังไม่ตายจริงๆก็ได้ แค่สร้างสถานการณ์หลอกๆเพื่อให้ตัวเองลอยนวล จากนั้นใช้องค์ความรู้ที่ตัวเองมีทั้งหมดมาทดลองกับตัวเองจนล่องหนได้
ไม่ว่าจะเข้าประเด็นไหน สิ่งที่น่าขบคิดคือ ซีซิเลีย แคสส์ มีความผูกใจเจ็บอย่างมาก ใครจะว่ายังไงก็แทบไม่เชื่อเลยสักนิด คิดเพียงอย่างเดียวคือ เอเดรียน กริฟฟิน ยังอยู่ แม้จะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม ความหลอกหลอนได้กัดกินจิตใจจนคิดว่าตัวเธอนั้นมีอาการประสาท อีกทั้งกินยากล่อมประสาทไปจำนวนมาก ซึ่งนั้นอาจแสดงถึงความไม่ปกติของสภาพจิตใจหรือระแวงมากเกินไปทำให้เกิดสิ่งที่ตัวเองคิดเองเออเอง
ปริศนาอาจไม่คมคายจนน่าหาคำตอบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นชวนให้สงสัยตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไรกันแน่ น่าเสียดายที่ไม่เล่าประเด็นนี้ได้ลึกซึ้งเต็มที่ ทำให้ทุกอย่างพุ่งไปทิศทางเดียวเกือบหมด แม้บทจะไม่แน่นเท่าที่ควร ทว่าการเข้าถึงตัวละครอย่าง ซีซิเลีย แคสส์ เป็นจุดสูงสุดเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะการพัฒนาของตัวละครที่ค่อยๆเปลี่ยนจากหวาดกลัวเป็นความกล้า ถ้าจำกันได้ในช่วงแรกมีแต่หวาดกลัว ไม่กล้าแม้จะเดินออกจากบ้าน แต่พอถูกทำร้ายจิตใจอย่างหนักกลับลุกขึ้นสู้ พร้อมปะทะกับสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น
อย่างหนึ่งที่ทำให้ The Invisible Man (2020) น่ากลัวอย่างมากคือความเงียบ ไม่มีเสียงให้ได้ยินเลยสักนิดเดียว ไม่รู้เลยว่ารอบๆตัวมีอะไรบ้าง หลบอยู่ตรงไหน ทำอะไรหรือยังไง ไม่สามารถบอกความชัดเจนจากความระแวงได้ว่ากลัวอะไร แค่สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เชื่อว่าต้องมี แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือสงครามจิตวิทยาที่หนังอยากให้เป็นเช่นนั้น ตามคอนเซ็ปต์ทุนต่ำแต่หวังสูง ฉะนั้นทุนสร้าง $7 ล้าน สามารถทำ CGI ที่ดูเนียนและบทที่เข้มข้นได้เหลือๆ