Zack Snyder's Justice League (2021) | A
Director: Zack Snyder
Genres: Action | Adventure | Fantasy | Sci-Fi
เป็นการรอคอยที่คุ้มค่าอยู่นะ เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นใน Justice League (2017) เป็นงานที่ไม่กล้าปล่อยอะไรมาก ทุกอย่างถูกกักบริเวณจนเกิดข้อสงสัยมากมาย เป็นแบบนี้จริงเหรอ ใช่แบบนี้แน่นะ ทำไมถึงเลือกแบบนั้น แล้วสุดท้ายเป็นหนังเกรดต่ำเพราะความคาดหวังที่สูงจากหลายคน ทั้งๆที่ความสนุกพอมีอยู่บ้างนิดหน่อย(ให้กำลังใจ)
ปฏิเสธไม่ได้ถึงการรวมตัวที่รวดเร็วของดีซีกับทีมจัสติซลีก ผิดกับมาร์เวลที่กว่าจะรวมทีมเป็นอเวนเจอร์สได้ต้องผ่านการเล่าเรื่องผ่านตัวละครนั้นตัวละครนี้ด้วยหนังของตัวเองก่อน พอเริ่มเข้าใจทิศทางของตัวละครนั้นจึงดูสมเหตุสมผลที่จะโยงถึงกันได้ อีกทั้งตัวร้ายไม่ถึงกับระดับบิ๊กบอสมาก่อน แต่ไต่ระดับความง่ายไปยากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การพัฒนาตัวละครกับเนื้อเรื่องไปได้ไกลสมกับระดับจักรวาล เพียงแต่แนวทางค่อนข้างชัดเจนเกินไป
Justice League (2017) คือหนังที่ดูเหมือนเครียด มีความจริงจังจนน่าปวดหัว แต่กลายเป็นความเบาสมองเน้นบันเทิง ผลกระทบที่เกิดขึ้นใน Batman v Superman: Dawn of Justice (2016) รู้สึกจืดจางอย่างมาก รวมไปถึงตัวละครที่อุตส่าห์รวมทีมกันได้แต่เบาบางถึงความสัมพันธ์ รวมไปความสามารถที่ตะหงิดใจไม่สมกับความยิ่งใหญ่ของทีม นับว่าเสียดายข้อนี้ที่เหมือนยัดให้เต็มทีมเฉยๆ
Zack Snyder's Justice League (2021) ยอมรับว่าหนังยาวจนเกือบครึ่งต่อครึ่งของ Justice League (2017) ซึ่งสิ่งที่ได้มาอาจทำให้หลายคนบอกว่าล้น แต่ส่วนตัวคือรายละเอียดที่ควรติดไว้และไม่ควรหายไป เพราะอย่างที่รู้คือเป็นหนังรวมทีมทีมจัสติซลีกที่ไม่ได้เกริ่นเรื่องราวก่อนหน้านี้มากนัก ทำให้อาจดูเร็วเกินไปกับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นต้องปูทางเนื้อเรื่องค่อนข้างหนักพอสมควร โดยเฉพาะ ไซบอร์ก (Ray Fisher) ที่เป็นตัวละครสำคัญและเสมือนเป็นหนังเฉพาะของตัวเองอีกด้วย ทั้งการถือกำเนิด ปมตัวละคร จุดเชื่อมโยง ทุกอย่างทำให้ฉบับนี้มีมิติขึ้นมากจากของเดิมที่วางให้รู้แค่สำคัญ แต่ไม่รู้สำคัญจริงมากแค่ไหน แทบหาที่มาที่ไปได้ลำบากเพราะความไม่ยอมเล่าปมตัวละคร ทั้งเรื่องความสามารถ ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งความบาดหมางระหว่างพ่อลูก พอมีสิ่งเหล่านี้ทำให้ตัวละครนี้มีอะไรที่มากกว่าที่เคยเห็น
จุดเปลี่ยนที่น่าประทับใจอีกอย่างคือ แฟลช (Ezra Miller) ที่ทำไว้เน้นขายบันเทิง พูดมากและปล่อยมุขฝืด เปลี่ยนให้จริงจังกับชีวิตมากขึ้นและปล่อยมุขแบบเรียบๆไม่ต้องฝืนทน รวมถึงปมตัวละครที่ไม่ถูกละเลย เป็นอีกตัวละครที่มีเรื่องราวของตัวเองในระดับหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีหนังเดี่ยวของตัวเองก่อน เพื่อจะได้อธิบายการใช้พลังที่ไม่อยากใช้เต็มที่ ทำไมกั๊กพลังไม่วิ่งเต็มสปีด จนนาทีสุดท้ายถึงยอมวิ่งเต็มเท้าเพื่อกู้สถานการณ์ที่ใจหนึ่งก็หวั่นกลัวไม่สำเร็จ แต่พอเทียบกับของเดิมแล้วแทบไม่อยากเชื่อว่าบทจะถูกเปลี่ยนไปขนาดนี้ ความสำคัญของแฟลชใน Justice League (2017) ไม่สมควรเป็นเช่นนั้นเลย
สเตพเพนวูล์ฟ ตัวร้ายที่ปรับปรุงจนแปลกใจว่าทำไมต้องทำให้เป็นตัวร้ายมิติเดียวใน Justice League (2017) แต่ใน Zack Snyder's Justice League (2021) กลับตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยมิติความเป็นตัวร้ายที่น่าเห็นใจ มีความน่าสงสารจากการทำงานรับใช้นาย มีปมอยากทำงานให้เสร็จเพื่อกลับไปหาครอบครัว ซึ่งคนละเรื่องกันเลย แล้วความเป็นกระสอบทรายได้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ คำตอบนี้คงเหมือนเดิมในบางมุม แต่คิดดูแล้วกันว่าตัวคนเดียวต้องสู้ตั้งกี่คน จากนั้นซูเปอร์แมน (Henry Cavill) ในสภาพอาบแสงดวงอาทิตย์เต็มร้อยมาลุยต่อ ซึ่งจะแพ้ตามเดิมคงไม่แปลก แต่รู้สึกครั้งนี้เข้าท่ากว่านะ เพราะในความแพ้ยังมีชนะซ่อนอยู่ (แม้จะถูกพลิกสถานการณ์ในท้ายที่สุด)
ส่วน ดาร์คไซด์ ตัวร้ายระดับบอสที่หายหน้าหายตาไปใน Justice League (2017) ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเรื่องราวในอดีตที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ดูน่าเชื่อถือกว่าเก่าและรวมไปถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย แม้จะดูเร็วไปมากที่จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับความสามารถบางส่วน แต่ช่วยยืนยันว่าเรื่องไม่ได้จบแค่นี้อย่างแน่นอน ถือเป็นการปูตัวร้ายที่อาจรวบรัดอยู่บ้าง กระนั้นก็น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
โดยส่วนตัวไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ผลตอบรับออกมาคนละทิศคนละทาง ราวกับได้ดูหนังคนละเรื่องทั้งที่มีพล็อตเดียวกัน แต่รายละเอียดทุกอย่างต่างกันมาก จากที่เบาหวิวมาเป็นหนักแน่น จากที่เล่นทีจริงทีมาเป็นซีเรียสตั้งแต่ต้นจนจบ น่าเสียดายที่หนังไม่ควรมีการปรับเปลี่ยนตามใจใน Justice League (2017) แต่อย่างน้อยใน Zack Snyder's Justice League (2021) ทำให้รู้ว่าหากหนังจะไปทางไหนก็ควรไปทางนั้นที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก
