Mortal Kombat (2021) มอร์ทัลคอมแบท

Mortal Kombat (2021) | มอร์ทัลคอมแบท | B
Director: Simon McQuoid
Genres: Action | Adventure | Fantasy | Sci-Fi | Thriller

ถ้าเปรียบเทียบถึง Mortal Kombat (1995) ที่เป็นหนังต้นฉบับยังมีความห่างกันพอสมควรในเรื่องการเร้าอารมณ์ยังไงให้ออกมามันส์ (แม้คิวบู๊จะแปลกๆก็เหอะ) ทำให้หนังพล็อตเรื่องจับคนจากทั่วโลกมาสู้เพื่อกู้โลกยังน่าดูและพร้อมหยิบมาดูซ้ำได้เสมอ แต่น่าเสียดายที่ความเท่และดนตรีติดหูจนเป็นจุดขายต้องพังลงเพราะภาคต่ออย่าง Mortal Kombat: Annihilation (1997)


ฉบับหนังจะพังไม่เป็นท่าเพราะนักแสดงเปลี่ยน ผู้กำกับเปลี่ยน และหลายอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นภาคต่อ แม้จะเล่าเรื่องต่อจากตอนจบภาคแรกแบบต่อเนื่องก็ตาม แต่ความคาดหวังยังมีต่อใน Mortal Kombat: Conquest (1998–1999) ฉบับซีรีส์ 22 ตอน ซึ่งพยายามถ่ายทอดให้เหมือนฉบับปี 1995 (สปอยด์ : สิ่งที่น่าหดหู่มากที่สุดคือตอนจบกับตัวละครที่ตายกันหมด ฝ่ายร้ายอยู่เหนือกว่าฝ่ายดี)

ส่วนฉบับปี 2021 นี้มีหลายอย่างที่ชอบและเชยในเวลาเดียวกัน เช่น ความพยายามทำให้ตัวละครออกมาเหมือนต้นฉบับเกม ซึ่งเห็นแล้วต้องร้องว้าวที่ทำให้ใกล้เคียงมากที่สุด กระนั้นทิศทางตัวละครมาในลักษณะเดิมๆ เดี๋ยวสู้เดี๋ยวชนะเดี๋ยวแพ้ มีเนื้อเรื่องให้สำรวจตัวละครไม่กี่อึดใจเพราะเน้นสู้มากกว่าดราม่า


แม้เนื้อเรื่องจะเบาและไขปมตัวละครได้ง่าย แต่ดีกว่าให้สู้อย่างเดียวแบบปี 1995 ที่พูดน้อยแล้วต่อยเตะเป็นส่วนใหญ่ เมื่อรู้ว่าหนังเน้นแอ็คชั่นแล้วทำไมยังต้องหาเนื้อเรื่องหรือตัวละครให้มีน้ำหนักมากกว่านี้ นั่นเพราะตัวละครน่าสนใจค่อนข้างมากและมีความหลากหลาย ความอยากรู้ที่มาที่ไปหรือเหตุผลที่เข้าต่อสู้จึงน่าสงสัย ซึ่งหลักๆที่เห็นคือ ฮานโซ ฮาซาชิ หรือ สกอร์เปียน (Hiroyuki Sanada) และ บีฮาน หรือ ซับซีโร่ (Joe Taslim) ทั้งสองเป็นศัตรูคู่แค้นที่มีเรื่องราวของตัวเอง แม้เพียงน้อยนิดก็อาจน่าดูกว่าทั้งเรื่องบางส่วน

น่าเสียดายที่ทุ่มทุนจนมีความใกล้เคียงเกมและองค์ประกอบต่างๆ แต่การต่อสู้ไม่แข็งแรงหรือหนักแน่นเท่าไรนัก ทำให้สู้กันไม่หนำใจกันแบบถึงพริกถึงขิง ถ้าปรับปรุงการต่อสู้ให้พลิกแพลงมากขึ้นและดุเดือดกว่านี้คงจะดีไม่น้อย ฉากที่คาดหวังจะได้เห็นสกอร์เปียนสู้กับซับซีโร่ค่อนข้างผิดหวังตรงที่ดูแข็งกระด้างไปหน่อย แต่สิ่งที่ทดแทนคือความรุนแรงและสัญลักษณ์ต่างๆตามฉบับเกม


แน่นอนว่าเส้นเรื่องในหนังเป็นเพียงส่วนเล็กๆของเรื่องราวทั้งหมด ถ้ากระแสออกมาดีย่อมมีภาคต่อได้ไม่ยาก ซึ่งหวังอยากให้มีภาคต่อในทันทีเสียด้วยซ้ำ แต่จะดีหากขยายต่อเป็นซีรีส์ที่อย่างน้อยตัวละครที่เพิ่มขึ้นได้มีเส้นเรื่องของตัวเอง ระหว่างนี้เล่นเกมรอภาคต่อที่ไม่รู้จะมาเมื่อไร แต่ถึงไม่มาก็คุ้มค่าระดับหนึ่งในฐานะหนังที่สร้างจากเกม

รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)