In The Tall Grass (2019) | พงหลอนมรณะ | B-
Director: Vincenzo Natali
Genres: Horror | Mystery | Sci-Fi | Thriller
ความสับสนและแสนวุ่นวายได้เกิดขึ้นกับคนกลุ่มหนึ่งที่มีทั้งหมด 5 คน ได้แก่ เบ็คกี้ (Laysla De Oliveira), คาล (Avery Whitted), แทรวิส (Harrison Gilbertson), รอสส์ (Patrick Wilson), (Rachel Wilson) และ โทบิน (Will Buie Jr.) บังเอิญเดินเข้าทุ่งหญ้าจนพลัดพรากหลงทางและไม่สามารถออกมาได้ เมื่ออยู่ในทุ่งหญ้านานเท่าไรยิ่งทวีความน่ากลัวจากสิ่งลี้ลับมากเท่านั้น
ความไม่ธรรมดาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องและการเล่าคือทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าทุ่งหญ้าล้วนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เป็นการเกิดแบบทับเส้นเวลาไปมา ดังนั้นไม่แปลกที่ใครต่อใครเกิดอาการสับสนและไม่รู้ความหมายในบางฉาก ซึ่งท้าทายการเล่าของหนังและคนดูที่ต้องเตรียมจดจำรายละเอียดกันให้ดี
อนึ่งการไม่จัดเรียงลำดับเวลาสร้างความสับสนและความระทึกได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่กับทุกเรื่องที่เป็นเช่นนั้นหากร้อยเรียงให้สอดคล้องกับอารมณ์ที่ไต่ระดับผิดจังหวะ ซึ่ง In The Tall Grass (2019) เป็นหนึ่งในปัญหาที่เดี๋ยวพีคเดี๋ยวกร่อยสลับบ่อยจนจบด้วยอารมณ์เย็นชา
ความน่าสนใจอาจเป็นการดัดแปลงจากนิยายของ Stephen King ที่เขียนร่วมกับ Joe Hill หรือลูกชาย พอได้ยินชื่อคงไม่พ้นความสุดยอดทางเนื้อหาที่ต้องออกมาดีมากแน่นอน ทว่าการไม่เคยอ่านจึงไม่อาจรับรู้ความแตกต่าง นอกจากเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือการเล่นกับจิตใจที่ปรับเปลี่ยนคนดีเป็นคนเลวหรือคนเลวเป็นคนดีได้ สำหรับประเด็นนี้มีให้เห็นเพียงเปลือกเท่านั้น ทำให้เป็นจุดอ่อนของหนังที่ให้มิติตัวละครจืดจาง
“เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ”
สำหรับต้นหญ้าไม่ต่างจากพืชชนิดหนึ่งที่พึ่งดินและสารอาหารหล่อเลี้ยง บางประโยคกล่าวถึงทุกคนล้วนคือหญ้า เมื่อหญ้าตายจึงไม่ต่างทำหน้าที่ปุ๋ยหรือซากพืชซากสัตว์ให้หญ้าต้นใหม่เจริญเติบโต วัฏจักรของหญ้าที่ตายแล้วเกิดใหม่ด้วยหญ้า ซึ่งนำมาเปรียบเทียบเรื่องของเวลาที่วนลูปไม่สิ้นสุด
นอกจากเรื่องเวลาที่วนลูปไม่สิ้นสุดคือเรื่องชีวิตหลังความตาย น่าเสียดายที่นำมาให้เห็นเพียงฉากสั้นๆ อีกทั้งไม่มีการอธิบายจึงสร้างความงุนงงในสิ่งที่เกิดขึ้น นั้นคือฉากหลุมที่เกิดขึ้นใกล้กับหินปริศนา ภายในหลุมเต็มไปด้วยคนจำนวนมากที่พยายามตะเกียกตะกาย บางทีอาจหมายถึงนรกของผู้มีบาป (ถ้าย้อนดูปมตัวละครแต่ละตัวจะมีเรื่องของบาปติดมาด้วยเสมอ)
แต่เหนือปริศนาใดคือหินก้อนโตปริศนาที่ตั้งเป็นจุดเด่นและไม่มีต้นหญ้าไหนอยู่ใกล้ อีกทั้งมีร่องรอยการแกะสลักที่บังเอิญสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้หนังจะไม่หาคำตอบให้เลยก็ยิ่งสร้างความสงสัยที่จะสื่อไปทางไหนก็ได้ กระนั้นใครก็ตามที่ได้สัมผัสหินจะรับรู้เส้นทางในทุ่งหญ้าพร้อมกับสัจจะธรรมบางอย่างและคล้ายจะดึงด้านลึกในจิตใจออกมาด้วย
หากไม่ติดเรื่องปริศนาที่วางไว้จำนวนมากและปมตัวละครที่หยั่งลึกไม่มากพอก็นับเป็นหนังปรัชญาที่ดูสนุก แล้วยังได้บริหารทบทวนความคิดเกี่ยวกับเส้นเวลาที่ไม่ได้เดินไปเส้นเดียว แต่มีหลายเส้นเวลาทับทบคล้ายต้นหญ้าที่เกิดแล้วเกิดอีกจนไม่รู้ต้นไหนมาก่อนมาหลัง