Texas Chainsaw Massacre (2022) | สิงหาสับ 2022 | C
Director: David Blue Garcia
Genres: Crime | Horror | Thriller
วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดกับ Timeline หรือภาคต่อที่สร้างหลังต้นฉบับคือการโละทุกภาคที่มีเรื่องราวหลัง The Texas Chain Saw Massacre (1974) โดยให้การกลับมาครั้งนี้คือภาคต่อที่มีเรื่องราวหลังเหตุการณ์ภาคแรก 50 ปี ซึ่งจะว่าไปก็เหมือน Halloween (2018) ที่ต้องการทิ้งทุกภาคเพื่อสานต่อ Halloween (1978) ในฐานะภาคต่อโดยตรง
Texas Chainsaw Massacre น่าจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยภาคต่อที่พยายามอ้างอิงภาคปี 1974 จนนำมาร้อยเรียงช่วงเวลาได้น่าปวดหัว สำหรับการกลับมาครั้งนี้เพื่อรีเซ็ทแล้วเริ่มใหม่ให้ดูง่ายและต่อเนื่องอย่างสมเหตุสมผล แม้เอาเข้าจริงเป็นการยกมาวางอย่างง่ายๆ แทบไม่รู้สึกเป็นภาคต่อที่พยายามสร้างเพื่อต่อตรงเสียด้วยซ้ำ
มีการเกริ่นช่วงแรกถึงเหตุการณ์ในภาคปี 1974 ซึ่งกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญและมีผู้รอดชีวิตเพียงรายเดียว ประเด็นคือตั้งใจเซอร์วิสแฟนหนังด้วยการนำตัวละครเก่ามามีบทบาทในหนังอีกครั้ง (นักแสดงคนละคนกับที่เล่นไว้เพราะคนเดิมเสียชีวิตไปแล้ว) ทว่าการปรากฏตัวในฐานะตัวละครต้นฉบับไม่มีอารมณ์ร่วมหรือรู้สึกเหนือกว่าตัวละครใหม่แต่อย่างใด ดังนั้นปมในอดีตหรือความกลัวฝังใจจนนำมาสู้ความแค้นไม่มีการเล่าถึงใดๆทั้งสิ้น (ทำแบบนี้มีแต่แฟนหนังโกรธซะมากกว่า)
ไม่รู้เพราะลืมใส่มิติตัวละครหรือเปล่าถึงเล่าเป็นเส้นตรงอย่างสบายใจ ไม่มีปมหรือประเด็นที่โยงให้คิดถึงภาคปี 1974 ถ้าจำกันได้จะไม่ใช่แค่เลเธอร์เฟซคนเดียวที่ฆ่าคน แต่มีคนอื่นเป็นครอบครัววิปริต ซึ่งหนังไม่ได้กล่าวถึงคนที่เหลือหายไปไหน เช่นเดียวกันกับเลเธอร์เฟซที่น่าจะมีปัญหาบางอย่างก็ทำให้ดูปกติ ช่วงเวลาก่อน 50 ปี ทำอะไรอยู่ไม่มีใครรู้
สิ่งที่เห็นคือเลเธอร์เฟซเป็นนักฆ่าถือเลื้อยไล่ฆ่าผู้คน ส่วนการมาเป็นนักฆ่าอีกครั้งเป็นสิ่งที่ง่ายและไม่สมเหตุสมผล ทำให้จู่ๆจะฆ่าคนก็ฆ่า แม้เหมือนมีคำอธิบายก็ไม่อาจความสัมพันธ์ในข้อนี้ได้อย่างเข้าใจ ราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญที่คนนั้นคือฆาตกรที่ชอบใช้เลื้อยและใช้ค้อนทุบเหมือนเลเธอร์เฟซแค่นั้น
แม้ทุกอย่างจะพังจากที่คาดหวังเพราะตามสูตรหนังสยองขวัญทุกอย่าง แต่มีหลายสิ่งที่หนังพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดคือความรุนแรงที่พร้อมจะละเลงเลือดเนื้ออย่างสะใจ ซึ่งจะว่าไปเป็นอีกภาคที่มีความโหดพอสมควร แต่หากย้อนกลับไปภาคปี 1974 แทบจะไม่มีความรุนแรงดังกล่าวเลย ทุกฉากล้วนอาศัยมุมกล้องและจังหวะให้ดูน่าสิ้นหวัง ทำให้หนังออกมารุนแรงทางจิตวิทยามากกว่าการดูคนตัวขาดไส้ทะลักที่รู้อยู่แล้วว่าตายยังไง