Doctor Strange in the Multiverse of Madness (2022) | จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย | B+
Director: Sam Raimi
Genres: Action | Adventure | Fantasy | Horror | Sci-Fi
เดิมทีคิดว่าซีรีส์ของ MCU จะดูเมื่อไรก็ได้เพราะเป็นการเก็บตกสิ่งที่ไม่ได้เล่าในหนังหรือมาอุดช่องว่างที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ไม่ใช่อีกต่อไปกับซีรีส์ WandaVision (TV Mini Series 2021) ที่พลาดแล้วจะไม่เข้าใจการเปลี่ยนไปของตัวละครหรือบางสิ่งที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งเชื่อว่าเนื้อหาในซีรีส์อีกหลายเรื่องไม่อาจพลาดได้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากดู Doctor Strange (2016) หรือภาคแรก ความรู้สึกหลังดูคือชอบพอสมควร มีอะไรหลายอย่างที่แปลกตาและสดใหม่ โดยเฉพาะเรื่องมิติที่แสดง CGI ได้ตระการตามาก รวมไปถึงความสำคัญของตัวละครที่บ่งบอกถึงหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่าซูเปอร์ฮีโร่คนอื่น เช่นเดียวกันกับ Doctor Strange in the Multiverse of Madness (2022) ทำหน้าที่แบกดูแลจักรวาลและสู้กับศัตรูที่น้อยคนรับมือได้
สำหรับครั้งนี้ ดร.สเตรนจ์ (Benedict Cumberbatch) ต้องเผชิญวิกฤตระดับจักรวาลที่ส่งผลกระทบต่อจักรวาลอื่นนับไม่ถ้วน เมื่อ วานด้า แม็กซิมอฟฟ์ (Elizabeth Olsen) หรือที่เปลี่ยนเป็น“สการ์เล็ตวิทช์” ต้องการพลังของ อเมริกา ชาเวซ (Xochitl Gomez) ที่สามารถเดินทางข้ามไปจักรวาลอื่นได้
พล็อตเรื่องไม่ได้มีอะไรมาก ทำให้เรื่องราวดูสั้นกระชับเพียงแค่ไล่ล่าตะลุยจักรวาลอื่นๆ ซึ่งการไปจักรวาลที่ไม่รู้จักทำให้รู้ว่ายังมีความน่าจะเป็นอีกมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นโอกาสที่ MCU จะทำอะไรที่ขัดหน้าขัดหลังก็พร้อมมีคำอธิบายได้อยู่เสมอ
ในมุมของหนังเดี่ยวมีเรื่องราวที่สั้น ทำให้การดูเพียงลำพังคือข้อเสียที่ดูเอาบันเทิงแต่ไร้อรรถรส ซึ่งเป็นข้อเสียของหนัง MCU ที่เริ่มเฉพาะกลุ่มมากขึ้นหรือกับคนที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น ลองนึกสภาพคนที่ไม่เคยดูหรือดูไม่ต่อเนื่องจะเกิดคำถามหลายข้อเกี่ยวกับที่มาที่ไป แล้วที่น่ากังวลสุดคือการมีชื่อหนังเดียวกันก็ไม่ได้แปลว่าคือภาคต่อของตัวเอง แต่ไปต่อกับหนังหรือซีรีส์คนอื่นที่ทิ้งปมเอาไว้ หากไม่ทำการบ้านมาก่อนอาจดูสลับไปมากับไทม์ไลน์ที่ชวนมึน
ครั้งนี้ได้ผู้กำกับ Sam Raimi ที่มีผลงานขึ้นหิ้งจากตระกูล Evil Dead ดังนั้นสิ่งที่คาดหวังเอาไว้สูงคือจะทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ยังไงให้ออกมาสยองขวัญ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ทั้งสมหวังและผิดหวังพอสมควร โดยเฉพาะการนิยามสยองขวัญที่หนังใส่ไว้ประเภทนี้ แต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ว่าจริงๆ หากทลายข้อจำกัดเปลี่ยนจากเรท PG-13 เป็น R ถึงจะสาแก่ใจขาโหดของจริง
แม้ไม่สมหวังเรื่องความสยองขวัญ แต่ผู้กำกับ Sam Raimi ยังไม่ทิ้งลายเซ็นตัวเองกับมุมกล้องชวนวิตกและภาพลักษณ์ที่โหดกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นใน MCU ทำให้หลายครั้งเซอร์ไพรส์กับความกล้าทำอยู่ไม่น้อย ขณะที่วิธีการเล่าเรื่องยังลื่นไหลไม่มีสะดุด น่าเสียดายที่เนื้อเรื่องมีมิติน้อยเกินไป แต่คิดในแง่สะสมเก็บแต้มจากหนังที่ผ่านมาจะเห็นพัฒนาการตัวละครมาตลอด
ทุกอย่างยังคงมาตรฐานของ MCU ทุกเรื่องดูสนุกและเก็บทุกอย่างได้ครบ แต่จะได้อรรถรสและความสดใหม่แบบไหนเป็นหน้าที่ของผู้กำกับถ่ายทอดออกมา สำหรับ Doctor Strange in the Multiverse of Madness (2022) คืออีกเรื่องที่ชอบมาก แม้ไม่ใช่ที่สุดเพราะคาดหวังไว้สูง แต่อุดมด้วยความเพลิดเพลินที่พร้อมเสิร์ฟไม่หยุดพัก
ปล.อย่าลืมสังเกตว่านี่คือหนังของผู้กำกับ Sam Raimi ดังนั้นที่ขาดไม่ได้คือ Bruce Campbell เพื่อนรักที่เล่นเป็นพระเอกให้กับหนังตระกูล Evil Dead รวมไปถึงสไปเดอร์แมนฉบับ Tobey Maguire ที่โผล่มาทุกภาค แต่ครั้งนี้มาในบทที่เซอร์ไพรส์ทีเดียว (หรือเปล่า)