Hellraiser (2022) | B+
Director: David Bruckner
Genres: Horror | Mystery | Thriller
ความชอบสองภาคแรกหรือ Hellraiser (1987) และ Hellbound: Hellraiser II (1988) เพราะประสบการณ์นรกแตกหรือความหฤโหด ทำให้คาดหวังภาคต่อเอาไว้สูง แม้จะสนุกบ้างและเข้าขั้นแย่บ้าง แต่ไม่มีภาคไหนที่มอบความรู้สึกเท่าภาคดังกล่าวเลย
สำหรับพล็อตไม่ต่างจากทุกภาค เมื่อมีคนเปิดกล่องปริศนาได้สำเร็จจะเรียกเหล่าซีโนไบท์ออกมา ซึ่งคนนั้นคือไรลีย์ (Odessa A’zion) ที่ไปขโมยของ แต่พบกล่องมีลวดลายน่าสนใจจึงลองแก้ปริศนา ทว่าได้ไปเริ่มเรื่องสยองขวัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การกลับมาครั้งนี้คือการรีเมคกึ่งรีบูทที่ไม่เชื่อมถึงภาคก่อนๆ แต่ไม่ทิ้งสิ่งที่เคยทำเอาไว้ ทุกอย่างคล้ายเดิมจนเรียกความรู้สึกเก่าๆกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะบรรยากาศการปรากฏตัวของเหล่าซีโนไบท์ที่น่าสยดสยองและน่าเจ็บปวดตั้งแต่แรกเห็น
แม้จะมอบความรุนแรง แต่ไม่อาจเทียบเท่าสองภาคแรกที่แสดงถึงความซาดิสม์และมาโซคิสม์กันอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าเห็นเศษซากนองเลือดและกองเนื้อเป็นว่าเล่น ข้อเสียคือ Practical effect ที่ความสมจริงน้อยกว่าตามยุคสมัย ทว่าภาคนี้ในแง่ความบรรจงและสมจริงที่มากกว่าจึงรู้สึกโหดไม่น้อยไปกว่ากัน
นอกจากความรุนแรงทางกายแล้ว สิ่งที่ต้องการให้เห็นคือความรุนแรงทางจิตใจ ซึ่งเป็นประเด็นที่หยิบมาใช้น้อยหรือแทบไม่เห็นในภาคก่อนๆ เนื่องจากติดภาพลักษณ์ความรุนแรงที่สัมผัสได้ การได้เห็นความเจ็บปวดทางใจทำให้รู้ว่าสาหัสไม่ต่างกันหรือมากกว่า ทำให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องและมิติตัวละครที่พบชะตากรรมแสนเศร้า
การดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงและทำให้เข้าใจง่าย สิ่งที่เน้นย้ำคือความสัมพันธ์ตัวละครเพื่อนำไปสู่องค์สุดท้าย แม้จะรู้สึกหลวมๆและตามสูตรสำเร็จอยู่บ้าง แต่คำตอบที่ได้กลายเป็นปรัชญาชีวิต มีชีวิตด้วยความเสียใจเพราะเป็นชะตากรรมที่ต้องหัดยอมรับความจริง
ความพิเศษอย่างหนึ่งคือบทพินเฮดมักคุ้นเคยกันดีกับนักแสดง Doug Bradley และมีการเปลี่ยนนักแสดงเพื่อให้ตัวละครนี้คงอยู่ แต่ขาดเสน่ห์และความขลังจากการแสดงและหนังที่ไม่สู้ดีนัก ครั้งนี้ได้นักแสดง Jamie Clayton ที่นอกจากเป็นผู้หญิงแล้ว การแสดงยังน่ากลัวเพราะความนิ่งอีกด้วย ทำให้ซีโนไบท์ที่มีหัวตะปูปักหัวและใช้อาวุธเป็นโซ่มีตะขอกลับมาทรงพลังอีกครั้ง
การกลับมาครั้งนี้เป็นที่คาดหวังอย่างมากและไม่คาดหวังใดๆ โดยส่วนตัวมีอคติกับ Franchise นี้เพราะยิ่งสร้างยิ่งกร่อยลงเรื่อยๆ ทำให้คิดว่าการกู้คืนอีกครั้งเป็นเรื่องยาก มิหนำซ้ำบางอย่างดูเก่าไปซะแล้วกับยุคสมัยที่หนังสยองขวัญไปไกล กระทั่งได้สัมผัสถึงชื่นชมและดีใจที่ได้กลับมามีคุณภาพอีกครั้ง หากเทียบกับภาคก่อนๆอาจจะดีกว่าหรือเคียงข้างสองภาคแรกเลยทีเดียว