The Midnight Club (TV Series 2022) | ชมรมสยองขวัญเที่ยงคืน | Season 1 | A-
Creator: Mike Flanagan, Leah Fong
Genres: Drama | Horror | Mystery | Thriller
“แด่ผู้มาก่อน และผู้มาทีหลัง แด่เราตอนนี้ และผู้อยู่โลกหน้า มองเห็นหรือไม่เห็น ยังอยู่แต่ไม่ใช่ที่นี่”
จากลักษณะการเล่าเรื่องคงทำหลายคนผิดหวัง และอีกหลายคนประทับใจ เพียงแค่ว่าหวังอะไรจากการได้ดูซีรีส์นี้ เพราะความสยองขวัญคือสิ่งรอง ประเด็นหลักอยู่ที่การนำเสนอปรัชญาชีวิตของคนที่ป่วยและอยู่ได้อีกไม่นาน
เริ่มต้นที่เด็กสาวนามว่า อีลองก้า (Iman Benson) ที่มีชีวิตปกติทุกอย่างและพร้อมไปสู่โลกกว้าง เพราะสอบติดมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทว่าความฝันที่สดใสนี้ต้องเลือนราง เมื่อพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ความพยายามในการรักษาที่ยาวนานยิ่งทำให้อนาคตที่ตัวเองหวังไว้ต้องจางหายไป กระทั่งไปพบข้อมูลบางอย่างจากสถานดูแลไบรท์คลิฟท์
การไปสถานดูแลไบรท์คลิฟท์ได้พบกับเหล่าเพื่อนๆ ที่เป็นมะเร็งเช่นเดียวกัน ซึ่งแต่ละคนมีลักษณะของโรคและนิสัยแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ทุกคนต้องทำเหมือนกันทุกคืนคือการรวมตัวเพื่อเล่าเรื่องลึกลับก่อนนอน
เปิดเรื่องด้วยความสงสัยเกี่ยวกับสถานที่ สิ่งนี้คงไม่ต่างกับบ้านผีสิงที่ต้องมีประวัติความเป็นมาอันแสนน่ากลัว จะต้องมีวิญญาณหลอกหลอน และปริศนาที่ยิ่งหายิ่งอันตราย ทว่าแทบไม่มีอย่างที่ว่าไว้เลย ทุกอย่างดูปกติแทบทุกอย่าง ยกเว้นบางครั้งที่มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ซึ่งเฉลยในภายหลังกับเหตุผลที่พอรับได้ แต่ถึงเช่นนั้นยังมีคำถามหลายข้อที่ยังไม่ได้คำตอบ และคงเป็นปริศนาปล่อยให้ค้างคากันต่อไป
สำหรับเรื่องเล่าเสมือนหนังสั้นที่มาพร้อมกับอารมณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ฆาตกร ผีร้าย แม่มด การแก้แค้น ไซไฟ และอื่นๆ ทั้งนี้เรื่องที่เล่าเป็นภาพสะท้อนตัวผู้เล่าและสถานการณ์ขณะนั้น ทำให้แต่ละเรื่องมีสัญลักษณ์ที่ชวนฉุกคิดอยู่เสมอ ดังนั้นไม่ใช่เล่าเอาสนุกก่อนนอน
นอกจากเรื่องเล่าจะมีความนัยหลายอย่างแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือการใช้นักแสดงมารับบทในเรื่องที่เล่าอีกด้วย ทำให้เพิ่มความสนุกจากการรับบทต่างๆ และมีมุมมองที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นอีกด้านของตัวละครที่อยากจะเป็นหรืออยากระบายความรู้สึกนั้นออกมา
การเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับชีวิตของตัวละครไม่มีความยัดเยียดถึงเรื่องดราม่า ปัญหาหรือปมในใจถูกเปิดเผยออกมาทีละนิดละน้อยอย่างช้าๆ ซึ่งสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเอง ทุกตัวละครมีการพูดคุยอย่างเปิดอก สะท้อนมุมมองชีวิตใกล้ตายที่อาจไม่จำเป็นต้องปิดบังเสมอไป
ความเชื่องช้าอาจเป็นข้อเสียใหญ่หลวงเพราะอัดแน่นด้วยบทสนา บางครั้งต้องจินตนาหรือตีความที่ตัวละครบอกอีกต่างหาก อาจเป็นข้อเสียจากความไม่รีบร้อนและปล่อยให้ไหลไปเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวแล้วการได้ซึมซับอย่างช้าๆ ช่วยให้เห็นและเข้าใจมิติตัวละครได้อย่างเต็มที่
แม้จะวางประเด็นการสืบค้นสถานดูแลที่ซ่อนบางอย่างเอาไว้ รวมถึงการมีลัทธิที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และปริศนาหลายอย่างที่น่าสงสัย ทว่าทั้งหมดเฉลยเพียงเล็กน้อยและคล้ายให้ปล่อยวางจากเรื่องที่เกิดขึ้น กระนั้นยังแอบแทรกจังหวะให้ติดตามอยู่เสมอ จนเกิดคำถามว่าตกลงแล้วมันจริงหรือไม่จริงกันแน่
การผสมผสานเรื่องลึกลับและเรื่องชีวิตอาจฟังเหมือนคนละทิศคนละทาง แต่พอได้สัมผัสถึงเห็นความพยายามคุมให้ดูเข้าใจและสะท้อนมุมมองการใช้ชีวิต ยิ่งจากคนเป็นมะเร็งใกล้จากโลกนี้ไปยิ่งมีหลายสิ่งที่เปิดกว้าง โดยเฉพาะความคิดที่ยิ่งฟังยิ่งสนุกจนอยากเข้าไปนั่งในชมรมนี้
น่าเสียดายที่ไม่ได้สยองขวัญอย่างที่คิด ยกเว้นเรื่องเล่าที่แทบจะครบรสครบสูตรสำเร็จ แต่พอเป็นเรื่องชีวิตที่คลุกเคล้าความเจ็บปวด ความเศร้า ความสนุก ความหวัง ความรัก และอีกมากมาย แทบไม่ต่างอะไรกับหนังปรัชญาที่เพลิดเพลินกับทัศนคติ ตอนที่ทุกคนช่วยกันเล่าเรื่องให้จบคือฉากที่มีพลังแบบง่ายๆ ไม่ต้องทำให้เว่อร์ แต่ประทับใจไปเต็มๆ
ป.ล.หลังจากดูจบและเขียนรีวิวไปได้ไม่นาน มีข่าวยกเลิกซีซั่นถัดไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เสียดายมาก และการไม่ได้ไปต่อจึงมีการปล่อยเรื่องราวในออนไลน์ โดยเรื่องราวจะเข้มข้นและชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะมีเทพแห่งความตาย และความเป็นไปของตัวละครที่เหลือ